นายบุรินทร์ อดุลวัฒนะ กรรมการผู้จัดการ และ Chief Economist บริษัท ศูนย์วิจัยกสิกรไทย จำกัด กล่าวว่า การกลับมาอีกครั้งของประธานาธิบดี โดนัลด์ ทรัมป์ ได้สร้างความไม่แน่นอนขึ้นมาต่อการลงทุนและการค้าโลก โดยเฉพาะอย่างยิ่ง นโยบายการขึ้นภาษีนำเข้าที่ต้องรอความชัดเจนในต้นปีหน้า ก่อให้เกิดความกังวล ว่า เศรษฐกิจโลกจะซบเซาเหมือนช่วงทศวรรษ 1930 นอกจากนั้น นโยบายอเมริกาเฟิร์สท์ จะทำให้มีการเปลี่ยนระเบียบโลก (Global Order) สร้างความเสี่ยงต่อองค์กรระหว่างประเทศ อย่างเช่น WTO และ NATO ได้ นางสาวณัฐพร ตรีรัตน์ศิริกุล รองกรรมการผู้จัดการ บริษัท ศูนย์วิจัยกสิกรไทย จำกัด ขยายความว่าในปี 2568 เศรษฐกิจไทยคาดว่าจะเติบโตที่ 2.4% ช้าลงกว่าปี 2567 เล็กน้อยที่คาดว่าจะขยายตัว 2.6% จากแรงส่งจากการท่องเที่ยวที่ลดลงตามจำนวนนักท่องเที่ยวที่เข้าใกล้ระดับก่อนโควิด เช่นกันกับส่งออกที่คาดว่าจะโตช้าลงจากผลกระทบสงครามการค้า ทั้งทางตรงผ่านตลาดส่งออกสหรัฐฯ และทางอ้อมผ่านตลาดอื่นๆ ที่ต้องแข่งขันกับสินค้าจีน อย่างไรก็ตาม การลงทุนภาครัฐขยายตัวดีกว่าปีที่ผ่านมาจากเม็ดเงินเบิกจ่ายงบประมาณที่ต่อเนื่อง ในขณะที่การลงทุนเอกชนปรับตัวดีขึ้นจากปี 2567 ที่หดตัว สอดคล้องไปกับ FDIs ที่เข้ามาในอุตสาหกรรมยานยนต์และอิเล็กทรอนิกส์ ทั้งนี้ ความเสี่ยงต่อเศรษฐกิจไทยยังสูง จากความแน่นอนของสงครามการค้า เศรษฐกิจหลักของโลกชะลอตัวลงโดยเฉพาะจีน และภาคการผลิตของไทยที่เจอภาวะการแข่งขันสูงจากสินค้าจีนท่ามกลางขีดความสามารถที่ลดลง นางสาวเกวลิน หวังพิชญสุข รองกรรมการผู้จัดการ บริษัท ศูนย์วิจัยกสิกรไทย จำกัด มองว่า ในปี 2568 สถานการณ์อุตสาหกรรมไทย คงจะไม่ดีขึ้นได้มากนัก ท่ามกลางหลายปัจจัยกดดัน ทั้งสงครามการค้าภายใต้ทรัมป์ 2.0 ซึ่งจะมีผลต่อการส่งออกและการผลิต มาตรการภาครัฐบางเรื่องที่อาจกระทบต้นทุน และประเด็นเชิงโครงสร้างที่ยังทำให้การใช้จ่ายเป็นไปด้วยความระมัดระวัง ขณะที่ กลุ่มที่ยังฟื้นได้ช้า จะเป็นธุรกิจขนาดกลางลงล่าง โดยมีความเสี่ยงที่จำนวนผู้ประกอบการภาคการผลิตในธุรกิจรถยนต์ อิเล็กทรอนิกส์ เคมีภัณฑ์ โลหะ แฟชั่น อาจลดลงอีก ส่วนในภาคการค้าและบริการ แม้จำนวนผู้ประกอบการอาจเพิ่มแต่การยืนระยะทางธุรกิจก็คงไม่ง่ายเช่นกัน ด้านนางสาวธัญญลักษณ์ วัชระชัยสุรพล รองกรรมการผู้จัดการ บริษัท ศูนย์วิจัยกสิกรไทย จำกัด กล่าวเพิ่มเติมว่า ปี 2568 คาดว่าจะยังเห็นสถานการณ์ที่แนวโน้มสินเชื่อของระบบธนาคารพาณิชย์ที่จดทะเบียนในไทยเติบโตช้าและต่ำ โดยมีอัตราการขยายตัวราว 0.6% จากปี 2567 ที่คาดว่าจะหดตัว 1.8% ท่ามกลางปัญหาหนี้ครัวเรือนสูงที่ยังจะกดดันให้สินเชื่อรายย่อยยังหดตัวต่อเนื่อง ขณะที่หนี้ด้อยคุณภาพยังเป็นปัญหาที่ต้องเฝ้าระวังต่อเนื่อง…
Author: staff
นายพีระพัฒน์ เมฆสิงห์วี ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บมจ.ธนชาตประกันภัย มอบเงินสนับสนุนมูลนิธิรามาธิบดีฯ จำนวน 1,000,000 บาท โดยมี รศ.นพ.ประกาศิต จิรัปปภา กรรมการบริหารมูลนิธิรามาธิบดีฯ และ ผศ.สุพัตรา ลีลาภิวัฒน์ ที่ปรึกษา คณะกรรมการบริหารมูลนิธิรามาธิบดีฯ เป็นผู้รับมอบ เพื่อนำเงินเข้าสมทบทุน โครงการอาคารโรงพยาบาลรามาธิบดีและย่านนวัตกรรมโยธี ซึ่งมีเป้าหมายเพื่อเพิ่มศักยภาพในการดูแลรักษาผู้ป่วยควบคู่กับการผลิตบุคลากรทางการแพทย์และสาธารณสุขต่อไป โดยพิธีจัดขึ้น ณ บมจ.ธนชาตประกันภัย สำนักงานใหญ่ สำหรับเงินที่ได้จากการรับมอบครั้งนี้ ทางมูลนิธิรามาธิบดีฯ จะนำเข้าสมทบทุน “โครงการอาคารโรงพยาบาลรามาธิบดี และ ย่านนวัตกรรมโยธี” ซึ่งเป็นโครงการก่อสร้างอาคารแห่งใหม่มีความสูง 25 ชั้นและมีชั้นใต้ดิน 2 ชั้น โดยอาคารเดิมของคณะแพทยศาสตร์ซึ่งเปิดให้บริการทางการแพทย์มากว่า 50 ปี มีความแออัดและมีสภาพชำรุดไปตามอายุการใช้งาน ทำให้มีข้อจำกัดด้านการปรับปรุงซ่อมแซม ซึ่งส่งผลกระทบโดยตรงต่อการให้บริการทางการแพทย์ต่อผู้ป่วยที่เข้ารับบริการ โดยเงินบริจาคที่ได้รับจะสามารถเพิ่มศักยภาพในการดูแลรักษาผู้ป่วยควบคู่กับการผลิตบุคลากรทางการแพทย์และสาธารณสุข อันจะนำมาถึงการช่วยเพิ่มคุณภาพชีวิตที่ดีของประชาชนคนไทยได้อย่างยั่งยืนต่อไป
เจนเนอราลี่ ประกันชีวิต (ไทยแลนด์) ประกาศความสำเร็จการพัฒนาช่องทางฝ่ายขาย ภายใต้กลยุทธ์ Agency RIGHT 2024 พาทีมพิชิตรางวัลคุณวุฒิ MDRT ได้ตามเป้าหมาย พร้อมสร้างสถิติปั้นตัวแทนจำหน่ายใหม่สูงสุดในรอบ 3 ปี เตรียมเดินหน้าตามแผน ขยายโครงสร้างองค์กรฝ่ายขายเพื่อพัฒนาบุคลากรรุ่นใหม่ให้ก้าวสู่การเป็นนักวางแผนการเงินมืออาชีพ ตั้งเป้าภายในปี 2027 ต้องมีตัวแทนจำหน่ายเพิ่มขึ้น 70% นายสมศักดิ์ อรรถเสรีพงศ์ ประธานเจ้าหน้าที่ฝ่ายช่องทางการจัดจำหน่ายผ่านตัวแทน (Chief Agency Officer – CAO) บริษัท เจนเนอราลี่ ประกันชีวิต (ไทยแลนด์) จำกัด (มหาชน) กล่าวว่า “ตามที่ได้มีการปรับใช้กลยุทธ์ Agency RIGHT 2024 เพื่อมุ่งส่งเสริมและผลักดันตัวแทนจำหน่ายสู่ความสำเร็จ ด้วยแนวคิดสำคัญคือ Right – Recruitment การสรรหาตัวแทนใหม่ที่ถูกต้อง Right – Infrastructure การวางระบบหลังบ้านที่แข็งแกร่ง Right Growing Together การเติบโตไปพร้อมกันในทิศทางที่ถูกต้อง Right – Habit การวางแผนกิจกรรมและการทำงานอย่างมีระบบ และ Right Training Platform การจัดระบบหลักสูตรการฝึกอบรม เพื่อเสริมศักยภาพตัวแทนให้มีความแข็งแกร่ง ส่งผลให้ในปี 2024 เจนเนอราลี่ ประกันชีวิต (ไทยแลนด์) ประสบความสำเร็จในด้านการพัฒนาและสร้างตัวแทนจำหน่าย โดยมีผลงานที่โดดเด่น ได้แก่ การปรับโครงสร้างผลประโยชน์ฝ่ายขาย (Compensation) ที่สามารถสร้างทีมงานให้เติบโตได้อย่างมั่นคงและมั่งคั่ง การสนับสนุนการสร้างตัวแทนมืออาชีพ (Professional Agent) ด้วยคุณวุฒิสโมสรล้านเหรียญโต๊ะกลม หรือ Million Dollar Round Table (MDRT) ซึ่งเป็นมาตรฐานความสำเร็จของตัวแทนจำหน่ายมืออาชีพระดับโลก การเปิดตัวนวัตกรรมแบบประกันใหม่ (GEN First Protect) เพื่อส่งเสริมให้คนไทยเริ่มต้นสร้างหลักประกัน ความคุ้มครองสุขภาพ รวมถึงโรคมะเร็งได้ง่ายขึ้น นอกจากนี้ ยังมีการพัฒนากิจกรรมเพื่อเสริมสร้างการทำงานอย่างเป็นระบบ (Systematic Activity Management) และ การจัดกิจกรรมส่งเสริมการตลาดตลอดทั้งปี เพื่อเป็นแรงจูงใจให้กับตัวแทนจำหน่าย เช่น…
นางสาวฐิติมา เลี้ยงพาณิชย์ ผู้อำนวยการฝ่าย กลุ่มสื่อสารองค์กร บริษัท ไทยประกันชีวิต จำกัด (มหาชน) และ ผศ.ดร.บุญญฤทธิ์ อุยยานนวาระ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท ไทยดอทรัน จำกัด หรือ เพจไทยรัน ร่วมมอบเงินรายได้จากการจัดกิจกรรมวิ่ง “Love Life Run 2024” จำนวน 600,000 บาท แก่นางสาวภาสินี ปรีชาธนาพล กรรมการและเลขานุการ มูลนิธิหนึ่งคนให้ หลายคนรับ เพื่อสมทบทุนในโครงการ “หนึ่งคนให้ หลายคนรับ เพื่อชีวิตใหม่หัวใจเด็ก” เป็นค่าใช้จ่ายในการผ่าตัดผู้ป่วยเด็กโรคหัวใจพิการแต่กำเนิดที่ขาดแคลนทุนทรัพย์ อันเป็นการส่งต่อความรัก รอยยิ้ม และเติมเต็มโอกาสให้กับผู้ป่วยเด็กโรคหัวใจได้กลับมามีชีวิตใหม่อีกครั้ง ณ สวนวชิรเบญจทัศ (สวนรถไฟ)
นางสาวนารถนารี รัฐปัตย์ กรรมการผู้จัดการ บริษัท บริหารสินทรัพย์สุขุมวิท จำกัด (บสส.) หรือ SAM เปิดเผยว่า “โครงการคลินิกแก้หนี้ by SAM” ได้รับความร่วมมือจากสถาบันการเงินพันธมิตรรายใหม่เข้าร่วมโครงการฯ เพิ่มเติมอีก 4 แห่ง ประกอบด้วย 1.ธนาคารกรุงไทย จำกัด (มหาชน) 2.บริษัท ฟอร์ท สมาร์ท แคปปิตอล จำกัด 3.บริษัท เมืองไทย เพย์ เลเทอร์ จำกัด และ 4.บริษัท วิง มันนี่ จำกัด ส่งผลให้ปัจจุบัน “โครงการคลินิกแก้หนี้ by SAM” มีจำนวนสถาบันการเงินที่เข้าร่วมโครงการจากเดิม 32 แห่ง เป็น 36 แห่ง หรือครอบคลุมสถาบันการเงินของประเทศไปแล้วกว่าร้อยละ 90 “ SAM ขอแสดงความยินดีกับลูกหนี้ของสถาบันการเงินพันธมิตรใหม่ 4 แห่งดังกล่าวข้างต้นและขอถือโอกาสนี้เป็นตัวแทนประชาชนขอบคุณสถาบันการเงินทุกแห่งที่เข้าร่วมโครงการ เชื่อว่าสถาบันการเงินทุกแห่งในโครงการต่างมีความเห็นตรงกันว่าหลักเกณฑ์ คุณสมบัติและเงื่อนไขของ “โครงการคลินิกแก้หนี้ by SAM” มีความพิเศษที่ให้โอกาสลูกหนี้สามารถเลือกผ่อนชำระได้ตามความสามารถและช่วยเหลือประชาชนได้แท้จริง อีกทั้งสถาบันการเงินทุกแห่งล้วนมีความตั้งใจ และเจตนารมณ์ที่มุ่งมั่นในการเข้ามาให้ความช่วยเหลือลูกหนี้และประชาชนที่กำลังเดือดร้อนจากการเป็นหนี้เสีย โดยเฉพาะลูกหนี้ประเภทบัตรเครดิต บัตรกดเงินสดและสินเชื่อส่วนบุคคลที่ไม่มีหลักประกัน ที่มียอดค้างชำระมากกว่า 120 วัน ให้มีกำลังในการแก้ปัญหาหนี้สินของตัวเองและสามารถกลับมาดำเนินชีวิตได้ตามปกติ ส่งผลต่อการแก้ไขปัญหาหนี้ครัวเรือนของประเทศ อันจะนำมาซึ่งการฟื้นตัวและความเติบโตทางเศรษฐกิจของประเทศโดยรวม”นางสาวนารถนารี กล่าวเพิ่มเติม ด้านธนาคารกรุงไทย จำกัด (มหาชน) ให้ความสำคัญถึงปัญหาหนี้ครัวเรือนที่อยู่ในระดับสูง ซึ่งอาจส่งกระทบต่อการดำรงชีพของประชาชน และเป็นอุปสรรคต่อการขับเคลื่อนเศรษฐกิจของประเทศ จึงให้ความสำคัญในการดูแลช่วยเหลือลูกค้าแก้ไขปัญหาหนี้อย่างต่อเนื่อง โดยความร่วมมือกับ SAM ในโครงการคลินิกแก้หนี้ครั้งนี้ เป็นอีกก้าวสำคัญในการช่วยเหลือลูกหนี้สินเชื่อส่วนบุคคลที่เป็นหนี้เสีย ให้สามารถกลับมาชำระหนี้ได้ โดยสามารถเลือกวางแผนการผ่อนชำระที่เหมาะสมกับตนเอง สอดคล้องกับรายรับและรายจ่าย เพื่อแก้ไขปัญหาหนี้อย่างยั่งยืน โดยโครงการนี้ สำหรับลูกค้าสินเชื่อส่วนบุคคล แบบไม่มีหลักประกัน ค้างชำระเกิน 120 วัน ยอดหนี้ไม่เกิน 2 ล้านบาท ระยะเวลาผ่อนนานได้สูงสุดถึง 10 ปี นางจงรัตน์นรี จิตรสกุล…
นายอารภัฏ สังขรัตน์(กลาง) ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร นางสาวเนธิตา กระบวนรัตน์(ซ้าย) กรรมการผู้จัดการ หัวหน้าสายงานบริหารการลงทุน บริษัทหลักทรัพย์ เมย์แบงก์ (ประเทศไทย) จำกัด (มหาชน) จัดงาน Affluent Flavor : A Tiger Club Experience สิทธิพิเศษสำหรับลูกค้า Tiger Club ระบบดับ TITANIUM ร่วมสัมผัสรสชาติอาหารฝรั่งเศส คู่กับ Bellevoye Whisky วิสกี้มีเอกลักษณ์และกลิ่นอายของฝรั่งเศส พร้อมเปิดโลกทัศน์การลงทุนแบบ Passionate investment โดย นายประสบสุข ถวิลเวชกุล(ขวา) กรรมการผู้จัดการ บริษัทเกรท เอิร์ธ อินเตอร์เนชั่นแนล จำกัด ที่มาแลกเปลี่ยนประสบการณ์ที่น่าสนใจในการลงทุนกับซิการ์ ในบรรยากาศสุดเอ็กซ์คลูซีฟเพื่อสมาชิก Tiger Club โดยเฉพาะ ณ L’Escargot at Monopoleเอกมัย เมื่อเร็วๆนี้
แม้ว่าการบริโภคภาคเอกชนในปี 2568 จะมีแนวโน้มชะลอตัวลง แต่คาดว่ายอดขายของธุรกิจค้าส่งค้าปลีกจะยังคงเติบโตต่อเนื่อง โดยได้รับอานิสงส์จากนโยบายกระตุ้นเศรษฐกิจภาครัฐ อย่างไรก็ดี ยังต้องจับตาปัญหาหนี้ครัวเรือนและราคาสินค้าที่ทรงตัวอยู่ในระดับสูงซึ่งจะกดดันกำลังซื้อของผู้บริโภคให้ฟื้นตัวได้ช้าลง รวมทั้งการแข่งขันที่รุนแรงขึ้นจากช่องทางออนไลน์ที่มี Key players ใหม่ ๆ เข้ามาในตลาดมากขึ้น โดยเฉพาะ Platform จากจีน ภาพรวมธุรกิจค้าปลีกในปี 2568 มีแนวโน้มเติบโตราว 5.1%YOY จากที่คาดว่าจะเติบโต 4.8%YOY ในปี 2567 ทั้งนี้แม้ว่าการบริโภคภาคเอกชนจะเติบโตชะลอลง แต่คาดว่าโครงการกระตุ้นเศรษฐกิจที่เริ่มดำเนินการในปี 2567 ต่อเนื่องถึงปี 2568 (เฟส 2 และ3) จะมีส่วนช่วยเพิ่มกำลังซื้อของผู้บริโภคในระยะสั้น อย่างไรก็ดี ในภาวะที่เศรษฐกิจกำลังอยู่ในช่วงฟื้นตัว ผู้บริโภคอาจจะยังระมัดระวังในการใช้จ่ายโดยเลือกใช้จ่ายในสินค้าที่จำเป็นก่อน และอาจชะลอการใช้จ่ายในกลุ่มสินค้าฟุ่มเฟือย นอกจากนี้ ตลาดยังได้รับปัจจัยหนุนจากนักท่องเที่ยวต่างชาติที่คาดว่าจะปรับตัวสูงขึ้นกลับมาสู่ระดับช่วงก่อนโควิด (Pre-covid) และหากภาครัฐปรับขึ้นค่าแรงคาดว่าจะช่วยสนับสนุนการฟื้นตัวของการบริโภคในระยะข้างหน้า การเติบโตของ E-commerce ยังคงเป็นไปอย่างต่อเนื่องและมีแนวโน้มแข่งขันรุนแรง แม้จะมีการชะลอตัวลงหลังจากช่วงโรคระบาดผ่านไป อย่างไรก็ดี พฤติกรรมของผู้บริโภคมีการเปลี่ยนแปลงมาเป็นการซื้อสินค้าออนไลน์มากขึ้น เนื่องจากมีความสะดวกสบาย โดยเฉพาะกลุ่ม Marketplace retailers ซึ่งมีสินค้าให้เลือกหลากหลาย ทำให้ผู้บริโภคสามารถเปรียบเทียบราคาและบริการของแต่ละร้านค้าได้อย่างง่ายดาย ขณะเดียวกัน เทรนด์ Social Commerce ก็มีสัดส่วนยอดขายต่อ E-commerce เพิ่มขึ้นเรื่อย ๆ สะท้อนถึงอิทธิพลของ Social media ที่ผู้บริโภคมีการใช้งานอยู่เป็นประจำ ผู้ประกอบการส่วนใหญ่ให้ความสำคัญกับประเด็น ESG โดยมุ่งเน้นไปที่ด้านสิ่งแวดล้อมเป็นหลัก โดยเฉพาะกลุ่มผู้ประกอบการรายใหญ่ที่มีการตั้งเป้าหมายลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกจากหลากหลายช่องทาง ตัวอย่างเช่น ลดใช้ถุงพลาสติก เปลี่ยนมาใช้บรรจุภัณฑ์ที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม ลดขยะ ส่งเสริม Circular economy และใช้พลังงานหมุนเวียน เช่น การติดตั้ง Solar rooftop นอกจากนี้ ยังเน้นสนับสนุนผู้ประกอบการ SME และเพิ่มสัดส่วนสินค้าเพื่อสุขภาพ รวมถึงการเปิดเผยข้อมูลด้าน ESG เป็นต้น กลุ่มที่เติบโตได้ดีต่อเนื่อง ยังคงเป็นหมวดร้านค้าสินค้าจำเป็น เช่น CVS, Supermarketและ Hypermarket ซึ่งมียอดขายที่เติบโต รวมถึงมีการขยายสาขาเพื่อให้เข้าถึงผู้บริโภคมากขึ้น อีกทั้ง ยังได้รับอานิสงส์จากนโยบายกระตุ้นเศรษฐกิจ ขณะที่กลุ่มที่ตอบโจทย์เทรนด์ต่าง ๆ…
3 ธ.ค. 67 – บล.ทิสโก้คาดดัชนีหุ้นไทยเดือนธันวาคมอาจปรับขึ้นรับเศรษฐกิจไทยเร่งตัว และเงินกองทุนรวมไทยเพื่อความยั่งยืน (TESG) จ่อไหลเข้า 1.2-1.4 หมื่นล้านบาท แต่ปี 2568 หุ้นไทยอาจเผชิญความผันผวนจากการเดินหน้านโยบายของทรัมป์ และการแรงเทขายกองทุนรวมหุ้นระยะยาว (LTF) นายอภิชาติ ผู้บรรเจิดกุล, CISA ผู้อำนวยการอาวุโส สายงานวิเคราะห์เชิงกลยุทธ์ บริษัทหลักทรัพย์ ทิสโก้ จำกัด เปิดเผยว่า คาดว่าช่วงเดือนธันวาคมดัชนีตลาดหุ้นไทย (SET Index) จะปรับตัวเพิ่มขึ้นจากโมเมนตัมเศรษฐกิจไทยที่คาดว่าจะเร่งตัวขึ้น เห็นได้จากตัวเลขการส่งออกเดือนตุลาคมที่ปรับตัวขึ้นสะท้อนว่าอุปสงค์ประเทศคู่ค้าหลักกำลังฟื้นตัวดีกว่าคาด เป็นจุดเริ่มต้นของวัฎจักรการกลับมาสต็อคสินค้าในระยะต่อไปนอกจากนี้ผู้ประกอบการอาจยังเร่งสั่งสินค้าเพื่อตุนเอาไว้ก่อนที่สหรัฐฯ จะเริ่มใช้นโยบายการตั้งกำแพงภาษีสินค้านำเข้า นอกจากนี้ ยังคาดว่าจะมีเม็ดเงินกองทุนลดหย่อนภาษีที่จะเข้ามามากที่สุดในเดือนธันวาคมของทุกปี โดยบล.ทิสโก้คาดว่าเฉพาะเม็ดเงินที่จะไหลเข้าหุ้นไทยจากกองทุนรวมไทยเพื่อความยั่งยืน (TESG) ในปี 2567 จะอยู่ที่ประมาณ 1.2-1.4 หมื่นล้านบาท “บล.ทิสโก้คาดหวังเงินกองทุนลดหย่อนภาษีซึ่งโดยปกติจะไหลเข้ามากสุดในเดือนธันวาคมของทุกปีจะช่วยผลักดันดัชนีหุ้นไทยส่งท้ายปีนี้ฟื้นตัวขึ้น สำหรับแนวโน้มปีนี้คาดว่าจะมีเม็ดเงินกองทุนลดหย่อนภาษีไหลเข้ามากกว่าปีที่แล้ว หลัก ๆ จากกองทุน TESG ได้เพิ่มลดหย่อนภาษีจาก 1 แสนบาท เป็น 3 แสนบาท และปรับระยะเวลาการถือครองลดลงจาก 8 ปีเป็น 5 ปี น่าจะช่วยดึงเม็ดเงินใหม่เข้าสู่ตลาดได้มากขึ้น จากการประเมินของสมาคมบริษัทจัดการลงทุน (AIMC) คาดจะมีเม็ดเงินไหลเข้ากองทุน TESG ประมาณ 2 หมื่นล้านบาทในช่วงปลายปีนี้ อิงจากโครงสร้างการลงทุนในกองทุน TESG ในปัจจุบันที่เป็นกองทุนหุ้น 61%, ตราสารหนี้ 26% และกองทุนผสม 13% บล.ทิสโก้คาดว่าจะมีเม็ดเงินไหลเข้าตลาดหุ้นไทยราว 1.2-1.4 หมื่นล้านบาท” นายอภิชาติกล่าว อย่างไรก็ตาม ในระยะถัดไปจะมีความไม่แน่นอนสูงจากนโยบายการค้าของสหรัฐฯ ที่อาจกระทบต่อการค้าและเศรษฐกิจโลกโดยต้นปีหน้าต้องจับตาการทำงานของทรัมป์ในช่วง 100 วันแรกหลังรับตำแหน่งในวันที่ 20 มกราคม 2568 โดยในช่วงปลายเดือนพฤศจิกายนทรัมป์กล่าวว่าจะเก็บภาษีศุลกากร 25% ของสินค้านำเข้าทุกประเภทจากแคนาดาและเม็กซิโก รวมทั้งจะเก็บภาษีสินค้านำเข้าจากจีน 10% เพื่อแก้ปัญหาผู้อพยพและยาเสพติดตามแนวชายแดน สิ่งนี้เริ่มสร้างความกังวลว่าสงครามการค้าอาจมาเร็วขึ้น นอกจากนี้ ปีหน้าจะเป็นปีแรกที่เงินกองทุนรวมหุ้นระยะยาว (LTF) รวมทั้งสิ้น 2.41 แสนล้านบาทสามารถขายได้ทั้งหมด อาจเป็นปัจจัยกดดันตลาดในช่วงต้นปีหน้าได้…
ทิพยประกันภัย ขอเชิญชวนร่วมโครงการทิพยสืบสาน รักษา ต่อยอด นวัตกรรมศาสตร์พระราชา ครั้งที่ 47 ในการเดินทางไปเรียนรู้และสัมผัสพระอัจฉริยภาพแห่งการพัฒนา ณ ศูนย์ศึกษาการพัฒนาภูพานอันเนื่องมาจากพระราชดำริ จังหวัดสกลนคร ซึ่งเป็นโครงการที่สะท้อนให้เห็นถึงพระปรีชาสามารถในการฟื้นฟูและพัฒนาทรัพยากรธรรมชาติ การส่งเสริมอาชีพ และการพัฒนาคุณภาพชีวิตของประชาชนอย่างยั่งยืน พร้อมกราบนมัสการ “หลวงพ่อองค์แสน” สิ่งศักดิ์สิทธิ์คู่เมืองสกลนคร ณ วัดพระธาตุเชิงชุม เพื่อความเป็นสิริมงคล พร้อมรับฟังการบรรยายด้านการพัฒนาสังคมและสิ่งแวดล้อม เพื่อความยั่งยืนในทุกมิติ จากวิทยากรผู้ทรงคุณวุฒิ อาทิ รศ.นพ.สุริยเดว ทรีปาตี ผู้อำนวยการศูนย์คุณธรรม ดร.ดนัย จันทร์เจ้าฉาย ประธานมูลนิธิธรรมดี และ อาจารย์อดุลย์ ดาราธรรม ที่ปรึกษาและอดีตนายกสมาคมนักเรียนเก่า AFS ประเทศไทย ผู้คิดค้นนวัตกรรมสื่อการสอนสำหรับเยาวชนในศตวรรษที่ 21 หรือ Interactive Board Game หนึ่งเดียวในโลก เพื่อผลักดันให้เกิดนวัตกรรมแบบก้าวกระโดด และเตรียมความพร้อมประเทศไทยสู่เป้าหมายการพัฒนาอย่างยั่งยืนภายในปี 2030 เชิญร่วมโครงการทิพยสืบสาน รักษา ต่อยอด นวัตกรรมศาสตร์พระราชา ครั้งที่ 47 ในวันที่14 – 15 ธันวาคม 2567 ณ ศูนย์ศึกษาการพัฒนาภูพานอันเนื่องมาจากพระราชดำริ จังหวัดสกลนคร เปิดรับสมัครตั้งแต่วันนี้เป็นต้นไป สอบถามข้อมูลเพิ่มเติมที่ คุณจารุกัญญ์ โทรศัพท์ 099 397 5333FB : ตามรอยพระราชา-The King’s Journey
ธนาคารกรุงเทพ จำกัด (มหาชน) เฉลิมฉลองโอกาสครบรอบการก่อตั้งปีที่ 80 มอบแคมเปญพิเศษ “ชวนออม ครบรอบ 80 ปี” เพื่อเชิญชวนคนไทยเริ่มต้นวางแผนการออมเงินอย่างจริงจัง ทั้งยังเป็นการส่งเสริมวินัยการออมที่ดี อันจะเป็นจุดเริ่มต้นของการสร้างความมั่นคงทางการเงินในอนาคต โดยมี “เพื่อนคู่คิด” อย่างธนาคารกรุงเทพ ที่พร้อมคอยช่วยแนะนำผลิตภัณฑ์ทางการเงินเพื่อตอบโจทย์การออมและเข้ากับไลฟ์สไตล์ของลูกค้าแต่ละกลุ่มได้อย่างตรงใจ โอกาสพิเศษนี้ ธนาคารได้จัดทำ “กระเป๋าผ้า Limited Edition” ที่ผลิตขึ้นโดยมีตราสัญลักษณ์ “80 ปี ธนาคารกรุงเทพ” มูลค่า 199 บาท สำหรับลูกค้าที่เปิดบัญชี e-Savings พร้อมสมัคร “โมบายแบงก์กิ้งธนาคารกรุงเทพ” หรือ บัญชีเงินฝากสินมัธยะทรัพย์ทวี / บัวหลวงคิดส์ ตั้งแต่ 2,000 บาทขึ้นไป หรือ บัญชีเงินฝากประจำ 3, 6, 12, 24 และ 36 เดือนตั้งแต่10,000 บาทขึ้นไป (เงื่อนไขเป็นไปตามที่ธนาคารกำหนด) ตั้งแต่วันนี้ – 30 ธันวาคม2567 ด่วน! มีจำนวนจำกัด โดยลูกค้า 1 ราย มีสิทธิ์รับกระเป๋าผ้าฯ ได้เพียง 1 ใบเท่านั้น ตลอดระยะเวลาแคมเปญ ทั้งนี้ ผู้สนใจสามารถดูรายละเอียดแคมเปญพิเศษ “ชวนออม ครบรอบ 80 ปี” รวมถึงข้อมูลอื่นที่น่าสนใจของธนาคาร ได้จากสื่อประชาสัมพันธ์ของธนาคารกรุงเทพทุกช่องทาง ได้แก่ www.bangkokbank.com, Bangkok Bank LINE Official หรือ เพจ Facebook Bangkok Bank Official หรือ สอบถามรายละเอียดเพิ่มเติม โทร. 1333./