บมจ.กรุงไทย-แอกซ่า ประกันชีวิต ผู้นำธุรกิจประกันชีวิตและสุขภาพ เปิดตัวผลิตภัณฑ์ใหม่ โรคร้ายโซชิลด์ แบบประกันโรคร้ายแรง ที่คุณสามารถใช้ชีวิตแบบชิลด์ได้ชัวร์ ไม่กลัวโรคร้าย และพร้อมเคียงข้างทุกคนที่มีความฝัน ซึ่งช่วยคุณวางแผนค่าใช้จ่ายการรักษาพยาบาลในอนาคตแบบไร้กังวล ซึ่งผลิตภัณฑ์ดังกล่าวครอบคลุม 10 โรคร้ายแรง และเพิ่มเติมอีก 4 โรคร้ายในเด็ก โดยสามารถสมัครได้ตั้งแต่อายุ 1 – 65 ปี คุ้มครองยาวนานถึงอายุ 99 ปี ด้วยวงเงินรักษาเหมาจ่ายสูงสุด 10 ล้านบาท ต่อรอบปีกรมธรรม์ ด้วยค่าเบี้ยประกันที่เข้าถึงได้ เริ่มต้นแค่วันละ 16 บาท พร้อมรับสิทธิในการลดหย่อนภาษี ผลิตภัณฑ์โรคร้ายโซชิลด์ (Roke Rai So Shield) มีจุดเด่นดังนี้ · เลือกแผนความคุ้มครองได้ถึง 4 แผน คุ้มครองยาวนานถึงอายุ 99 ปี · ครอบคลุมการรักษาทั้ง 3 ขั้นตอน ตั้งแต่เตรียมความพร้อม เข้ารับการรักษา และระยะฟื้นฟู · ค่ารักษาพยาบาลแบบเหมาจ่าย ทั้งกรณีผู้ป่วยใน (IPD) และ ผู้ป่วยนอก (OPD) จากการรักษาโรคร้ายแรง · เบี้ยประกันภัยสุขภาพ สามารถนำมาใช้ดหย่อนภาษีได้สูงสุดไม่เกิน 25,000 บาท ตามเงื่อนไขที่ทางกรมสรรพากรกำหนด ทั้งนี้ บริษัทฯ มุ่งมั่นพัฒนาผลิตภัณฑ์ประกันชีวิต และบริการให้สามารถเข้าถึงผู้คนให้ได้มากที่สุด เพื่อเป็นส่วนหนึ่งที่ช่วยให้ทุกคนสามารถดูแลครอบครัว ธุรกิจ และชุมชนได้อย่างมั่นใจ พร้อมเคียงข้างทุกความเชื่อมั่น ดูแลกันตลอดไป สำหรับผู้ที่สนใจ หรือต้องการสอบถามข้อมูลผลิตภัณฑ์ “โรคร้ายโซชิลด์” ได้ที่ https://www.krungthai-axa.co.th/th/products/health-insurance-and-hospital-income/rokeraisoshield หรือ ศูนย์ลูกค้าสัมพันธ์ โทร.1159 อีเมล customer.care@krungthai-axa.co.th หรือตัวแทน และสำนักงานตัวแทนของบริษัทฯ ทั่วประเทศ
Author: staff
บริษัท พรูเด็นเชียล ประกันชีวิต (ประเทศไทย) จำกัด (มหาชน) หรือ พรูเด็นเชียล ประเทศไทย เปิดตัว “PRULegacy – Your Mark Lives On” ภายใต้แนวคิด “ทุกความสำเร็จในแบบของคุณ คือคุณค่าที่คุณสร้างและส่งต่อให้คนที่คุณรัก” ตอกย้ำจุดยืนการดูแลลูกค้ากลุ่มความมั่งคั่งสูง (High Net Worth) โดยเฉพาะ ด้วยเอกสิทธิ์เหนือระดับและสิทธิประโยชน์แบบองค์รวมที่ตอบโจทย์ทั้ง การวางแผนการเงิน สุขภาพ และไลฟ์สไตล์ รวมทั้งการบริการให้คำปรึกษาด้านการวางแผนภาษี ยกระดับการบริหารจัดการความมั่งคั่งและสร้างหลักประกันที่มั่นคงในระยะยาวให้กับคนรุ่นต่อไป นายนิติพงษ์ ปรัชญานิมิต ประธานเจ้าหน้าที่บริหารสายงานลูกค้าและการตลาด บริษัท พรูเด็นเชียล ประกันชีวิต (ประเทศไทย) จำกัด (มหาชน) หรือ พรูเด็นเชียล ประเทศไทย เปิดเผยว่า “พรูเด็นเชียล ประเทศไทย มุ่งมั่นสร้างหลักประกันที่แข็งแกร่งทั้งด้านสุขภาพและความมั่นคงทางการเงินให้กับลูกค้า ภายใต้เจตนารมณ์ “For Every Life, For Every Future: ชีวิตมีกัน…ทุกวันดีกว่า” โดยเฉพาะกลุ่มที่มีความมั่งคั่งสูง (High Net Worth) บริษัทฯ ได้ตระหนักถึงความสำคัญในการบริหารความมั่งคั่งและการส่งต่อคุณค่าจากรุ่นสู่รุ่นอย่างยั่งยืน เราจึงได้ออกแบบเอกสิทธิ์เหนือระดับอย่าง “PRULegacy” ที่เปรียบเสมือนเพื่อนคู่คิดในการให้คำปรึกษาการวางแผนชีวิตและบริหารจัดการความ มั่งคั่งเพื่อสร้างหลักประกันที่มั่นคงกับคนรุ่นต่อไป รวมถึงสิทธิประโยชน์ต่างๆมากมายที่ตอบโจทย์ทั้ง สุขภาพ ไลฟ์สไตล์ และ การใช้ชีวิตในทุกมิติ ซึ่งพรูเด็นเชียลฯ พร้อมอยู่เคียงข้างทุกเป้าหมายของความสำเร็จ” หัวใจของการออกแบบเอกสิทธิ์สำหรับลูกค้า “PRULegacy” มุ่งเน้นไปที่การส่งต่อคุณค่าและสิ่งที่ดีที่สุดให้คนที่รัก ทั้งความมั่งคั่งด้วยผลิตภัณฑ์แบบเอ็กซ์คลูซีฟ อาทิ แผนประกันเพื่อความคุ้มครองชีวิต แผนประกันเพื่อการวางแผนมรดก พร้อมบริการให้คำปรึกษาด้านการวางแผนทางการเงินและการลงทุนครบวงจร ซึ่งไม่ใช่แค่การมอบสิทธิประโยชน์เท่านั้น แต่ยังต้องสามารถต่อยอดคุณค่าให้แก่ลูกค้าทั้งในด้านการเงิน ด้านการลงทุน ด้านกฎหมาย หรือด้านภาษี อีกด้วย “เรามองว่า ลูกค้ากลุ่มความมั่งคั่งสูง (High Net Worth) จะให้ความสำคัญกับการวางแผนการเงิน การลงทุน เพื่อส่งต่อหลักประกันที่มั่นคงแก่ทายาทในอนาคต “PRULegacy” จึงสะท้อนความมุ่งมั่นของพรูเด็นเชียลฯ ในการเป็นมากกว่าผู้ให้บริการประกันชีวิต แต่เป็นคู่คิดที่เชื่อถือได้ในทุกช่วงของชีวิตลูกค้า เราเชื่อว่า ความมั่งคั่งที่แท้จริงไม่ใช่แค่สิ่งที่เราสร้างขึ้น แต่คือสิ่งที่สามารถส่งต่อให้คนที่เรารักได้อย่างยั่งยืนและมีคุณค่า”…
กลุ่มซีไอเอ็มบี โฮลดิงส์ เบอร์ฮาด (“CIMB” หรือ “กลุ่มบริษัท”) ประกาศแต่งตั้ง วุธว์ ธนิตติราภรณ์ ดำรงตำแหน่ง กรรมการผู้จัดการใหญ่และประธานเจ้าหน้าที่บริหาร ธนาคาร ซีไอเอ็มบี ไทย (“CIMB Thai”) มีผลตั้งแต่วันที่ 21 เมษายน 2568 ภายหลังจาก พอล วอง ชี คิน ได้สิ้นสุดวาระการปฏิบัติงานในประเทศไทยเป็นเวลากว่า 4 ปี วุธว์ มีประสบการณ์คร่ำหวอดในแวดวงการเงินทั้งตลาดเงินและตลาดทุน และเป็นผู้นำที่มีผลงานโดดเด่นมาตลอด เข้าร่วมงานกับธนาคาร ซีไอเอ็มบี ไทย มานานกว่า 11 ปี โดยเริ่มต้นจากการเป็นหัวหน้าสายงานวาณิชธนกิจ เมื่อเดือนกุมภาพันธ์ 2557 ก่อนที่จะได้รับแต่งตั้งเป็น ผู้บริหารสูงสุดบรรษัทธุรกิจในปี 2560 และต่อมาในเดือนกันยายน 2562 ได้ขยายบทบาทบริหารสายงานธุรกรรมการเงินควบคู่กันอีกหนึ่งตำแหน่ง ซึ่งเป็นส่วนหนึ่งของแผนพัฒนาศักยภาพผู้นำองค์กร ทั้งนี้ ภายใต้การนำของ วุธว์ ได้สร้างการเปลี่ยนแปลงให้สายงานบรรษัทธุรกิจ และธุรกรรมการเงิน มีผลงานเติบโตอย่างโดดเด่น และประสบความสำเร็จอย่างมาก สะท้อนจากการที่ลูกค้าบรรษัทในประเทศไทยไว้วางใจเลือกให้ธนาคาร ซีไอเอ็มบี ไทย เป็นพันธมิตรดูแลธุรกิจด้วยโซลูชันครบวงจรในการไปขยายธุรกิจข้ามประเทศและเปิดตลาดในภูมิภาคอาเซียน การแต่งตั้ง วุธว์ ดำรงตำแหน่งกรรมการผู้จัดการใหญ่และประธานเจ้าหน้าที่บริหาร ธนาคาร ซีไอเอ็มบี ไทย สอดคล้องกับกลยุทธ์ของกลุ่มซีไอเอ็มบี ที่เพิ่งประกาศวิสัยทัศน์ Forward30 โรดแมพระยะเวลา 6 ปี (2025-2030) เพื่อเร่งการเติบโตและสร้างความพร้อมสำหรับอนาคต ภายใต้ Forward30 ธนาคาร ซีไอเอ็มบี ไทย ได้รับการจัดอยู่ในกลุ่มประเทศที่มีศักยภาพการเติบโต (Growth Markets) โดยวุธว์จะทำงานร่วมกับประธานเจ้าหน้าที่บริหาร Growth Markets ของกลุ่มซีไอเอ็มบี ผลักดันให้ ซีไอเอ็มบี ไทย เกิดการเปลี่ยนแปลงภายใต้กลยุทธ์ Forward30 โนแวน อามีรูดิน ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร กลุ่มซีไอเอ็มบี กล่าวว่า “ผมรู้สึกยินดีเป็นอย่างยิ่ง ที่ได้ต้อนรับคุณวุธว์กับบทบาทซีอีโอ ของ ซีไอเอ็มบี ไทย คุณวุธว์มีประสบการณ์ด้านการพลิกฟื้นธุรกิจอย่างโดดเด่น…
นายอธิป ศิลป์พจีการ กรรมการผู้จัดการใหญ่ บริษัท อยุธยา แคปปิตอล เซอร์วิสเซส จำกัด ผู้ให้บริการสินเชื่อส่วนบุคคลและบัตรเครดิตแบรนด์กรุงศรีเฟิร์สช้อยส์ ร่วมแสดงความยินดีในโอกาสที่ผลงานโฆษณาของกรุงศรีเฟิร์สช้อยส์ชุด “What the Fast!” ที่สร้างสรรค์โดย Leo Thailand รับ 3 รางวัลใหญ่ ได้แก่ รางวัล Grande ประเภท Online Film, Finance & Real Estate, รางวัล Silver ประเภท Broadcast, Financial & Real Estate และรางวัล Silver ประเภท Micro Short Film จากเวที ADFEST 2025 (Asia Pacific Advertising Festival) งานประกวดโฆษณาที่ยิ่งใหญ่ในภูมิภาคเอเชีย ตอกย้ำภาพลักษณ์แบรนด์กรุงศรีเฟิร์สช้อยส์ในฐานะผู้ให้บริการทางการเงินชั้นนำที่ส่งมอบนวัตกรรมทางการเงินที่มีคุณภาพ รวมถึงให้ความสำคัญกับแบรนด์และการสื่อสารกับกลุ่มลูกค้าด้วยความคิดสร้างสรรค์ที่โดดเด่นอย่างต่อเนื่อง
บริษัท ศรีสวัสดิ์ แคปปิตอล 1969 จำกัด (มหาชน) หรือ SCAP ผู้ให้บริการสินเชื่อรายย่อยครบวงจร ประกาศข่าวดี! ฟิทช์ เรทติ้งส์ (ประเทศไทย) ให้อันดับเครดิตภายในประเทศระยะยาว (National Long-Term Rating) แก่ SCAP ที่ระดับ ‘A-(tha)’ และอันดับเครดิตภายในประเทศระยะสั้น (National Short-Term Rating) ที่ ‘F2(tha)’ โดยมีแนวโน้มอันดับเครดิต “มีเสถียรภาพ” (Stable Outlook) ระดับเดียวกับอันดับเครดิตของกลุ่มศรีสวัสดิ์ (SAWAD) สะท้อนโครงสร้างธุรกิจที่แข็งแกร่งของกลุ่ม และเครือข่ายการดำเนินงานในธุรกิจสินเชื่ออุปโภคบริโภคที่มีมายาวนาน รวมถึงความสามารถในการทำกำไรที่เพียงพอ และอัตราหนี้สินที่อยู่ในระดับปานกลาง พร้อมกันนี้ ฟิทช์ยังได้ให้อันดับเครดิตภายในประเทศระยะยาวแก่หุ้นกู้ไม่ด้อยสิทธิไม่มีประกันสกุลเงินบาทของ SCAP ที่ออกเสนอขายไปแล้วที่’A-(tha)’ ซึ่งจะครบกำหนดตั้งแต่พฤศจิกายน 2568 – กุมภาพันธ์ 2572 ฟิทช์ เรทติ้งส์ (ประเทศไทย) ระบุว่า อันดับเครดิตของ SCAP มาจากอันดับเครดิตรวมของกลุ่มแม่ นำโดยบริษัท ศรีสวัสดิ์ คอร์ปอเรชั่น จำกัด (มหาชน) หรือ SAWAD ซึ่งอันดับเครดิตของ SCAP ไม่สามารถแยกออกจากกลุ่มได้อย่างมีนัยสำคัญ เนื่องจากบริษัทมีขนาดใหญ่และมีระดับการบูรณาการกับนิติบุคคลอื่นในกลุ่มสูง ดังนั้น จึงจัดอันดับเครดิตของ SCAP ในระดับเดียวกับกลุ่ม โดยมองว่ากิจการของกลุ่มมีตำแหน่งทางการตลาดและเครือข่ายในกลุ่มธุรกิจสินเชื่ออุปโภคบริโภคอยู่ในระดับที่ดี นางสาวดวงใจ แก้วบุตตา กรรมการ บริษัท ศรีสวัสดิ์ แคปปิตอล 1969 จำกัด (มหาชน) กล่าวว่า “เป็นเรื่องน่ายินดีและรู้สึกภาคภูมิใจอย่างยิ่งที่ SCAP ได้รับการจัดอันดับเครดิตระดับ ‘A-(tha)’ จากฟิทช์ เรทติ้งส์ สะท้อนถึงโครงสร้างธุรกิจของกลุ่มที่แข็งแกร่ง และการปล่อยสินเชื่ออย่างมีประสิทธิภาพ ซึ่งการได้รับอันดับเครดิต ‘A-(tha)’ จะเอื้อประโยชน์ให้ SCAP เข้าถึงต้นทุนทางการเงินในระดับที่แข่งขันได้ดีขึ้น และเพิ่มโอกาสทางธุรกิจทำให้ขยายพอร์ตสินเชื่อได้มากขึ้น สนับสนุนผลประกอบการให้เติบโตอย่างต่อเนื่อง เป็นอีกหนึ่งแรงสนับสนุนที่ช่วยเสริมความแข็งแกร่งให้กลุ่ม SAWAD รวมถึงส่งมอบคุณค่าให้กับผู้มีส่วนได้เสียของบริษัทและพันธมิตรเชิงกลยุทธ์ในระยะยาว ตลอดจนสร้างความเชื่อมั่นต่อนักลงทุนทั้งในและต่างประเทศ” SCAP…
เศรษฐกิจไทยในไตรมาส 1 ปี 2568 เริ่มมีสัญญาณชะลอตัว โดยมีสาเหตุหลักจากการลงทุนภาคเอกชน ที่ชะลอตัวลงอย่างมีนัยสำคัญ ท่ามกลางความไม่แน่นอนที่เพิ่มขึ้นเกี่ยวกับนโยบายการค้าของประเทศเศรษฐกิจหลัก ภาคการผลิตยังคงเผชิญแรงกดดัน แม้ว่าการผลิตในกลุ่มยานยนต์จะเริ่มมีสัญญาณฟื้นตัวแต่ระดับการผลิตโดยรวม ยังอยู่ในระดับต่ำ ขณะที่ภาคบริการยังคงขยายตัว แม้จะได้รับแรงกดดันจากการปรับลดลงของจำนวนนักท่องเที่ยวจีนและค่าใช้จ่ายต่อหัว อย่างไรก็ตาม นักท่องเที่ยวจากสัญชาติอื่นยังคงเติบโตอย่างต่อเนื่อง ซึ่งช่วยพยุงภาคการท่องเที่ยวในภาพรวม ภาคการส่งออกเริ่มส่งสัญญาณฟื้นตัว แม้จะยังอยู่ภายใต้แรงกดดันจากความไม่แน่นอนของเศรษฐกิจโลก ส่วนแรงกดดันด้านราคายังคงอยู่ในระดับต่ำสะท้อนอุปสงค์ภายในประเทศที่ยังไม่เข้มแข็ง ทั้งนี้ แนวโน้มเศรษฐกิจไทยในปี 2568 ยังคงเผชิญกับความท้าทายที่สำคัญหลายประการ ได้แก่ ความไม่แน่นอนจากนโยบายการค้า ของสหรัฐอเมริกา ความผันผวนของราคาพลังงานและสินค้าโภคภัณฑ์จากสถานการณ์ความขัดแย้งระหว่างประเทศ และระดับหนี้ครัวเรือนที่ยังคงอยู่ในระดับสูง ซึ่งอาจมีผลกระทบในระดับที่สำคัญต่อกำลังซื้อของประชาชน และความเชื่อมั่นของภาคเอกชน ธนาคารกรุงเทพตระหนักถึงความท้าทายที่เพิ่มขึ้นในการดำเนินธุรกิจ และเข้าใจถึงความไม่แน่นอนทางธุรกิจที่ต้องเผชิญอยู่ในช่วงเวลานี้ ไม่ว่าจะเป็นผลกระทบจากนโยบายการค้าของประเทศเศรษฐกิจหลัก การปรับเปลี่ยนนโยบายและกฎเกณฑ์ด้านสิ่งแวดล้อมจากการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศที่กำลังทวีความรุนแรงขึ้น รวมถึงความก้าวหน้าอย่างรวดเร็วของเทคโนโลยีและนวัตกรรมที่ผลักดันให้ธุรกิจต้องปรับตัวเพื่อก้าวทัน โลกยุคดิจิทัล ธนาคารกรุงเทพพร้อมยืนเคียงข้างลูกค้าในฐานะ “เพื่อนคู่คิด มิตรคู่บ้าน” จึงยังคงเน้น การให้คำปรึกษาและดูแลลูกค้าแต่ละกลุ่มอย่างเหมาะสม ทั้งด้านเงินทุนและองค์ความรู้ที่เท่าทัน ต่อการเปลี่ยนแปลง พร้อมสนับสนุนลูกค้าให้ได้ประโยชน์จากโอกาสในการขยายกิจการไปยังต่างประเทศ รวมทั้งยังมุ่งมั่นให้บริการทางการเงินที่รับผิดชอบต่อชุมชนและสิ่งแวดล้อม ในขณะเดียวกันธนาคารยังคงดำเนินธุรกิจด้วยความระมัดระวัง พร้อมทั้งยึดมั่นแนวทางการให้สินเชื่ออย่างรับผิดชอบและเป็นธรรม (Responsible lending) โดยให้ความสำคัญกับความรับผิดชอบต่อสังคมและการเติบโตอย่างยั่งยืน ธนาคารกรุงเทพรายงานกำไรสุทธิสำหรับไตรมาส 1 ปี 2568 จำนวน 12,618 ล้านบาท ธนาคารกรุงเทพและบริษัทย่อยรายงานกำไรสุทธิสำหรับไตรมาส 1 ปี 2568 จำนวน 12,618 ล้านบาท เพิ่มขึ้นร้อยละ 19.9 จากไตรมาสเดียวกันปีก่อน ส่วนใหญ่จากรายได้จากการดำเนินงานเพิ่มขึ้น โดยมีรายได้ดอกเบี้ยสุทธิจำนวน 31,909 ล้านบาท และส่วนต่างอัตราดอกเบี้ยสุทธิร้อยละ 2.89 ซึ่งเป็นไปตามทิศทางอัตราดอกเบี้ย ในตลาด สำหรับรายได้ค่าธรรมเนียมและบริการสุทธิเพิ่มขึ้นจากการอำนวยสินเชื่อและบริการประกันผ่านธนาคารและบริการกองทุนรวมที่ยังคงเติบโตดี ประกอบกับกำไรสุทธิจากเครื่องมือทางการเงินที่วัดด้วยมูลค่ายุติธรรม ผ่านกำไรหรือขาดทุนและกำไรจากเงินลงทุนเพิ่มขึ้นตามสภาวะตลาด สำหรับค่าใช้จ่ายจากการดำเนินงานเพิ่มขึ้น โดยธนาคารยังคงมุ่งเน้นการพัฒนาและปรับปรุงประสิทธิภาพการดำเนินงานอย่างต่อเนื่อง ควบคู่กับ การให้ความสำคัญในการบริหารค่าใช้จ่าย ส่งผลให้อัตราส่วนค่าใช้จ่ายต่อรายได้จากการดำเนินงานอยู่ที่ร้อยละ 45.5 ทั้งนี้ ธนาคารตั้งผลขาดทุนด้านเครดิตที่คาดว่าจะเกิดขึ้นในไตรมาส 1 ปี 2568 จำนวน 9,067 ล้านบาท อยู่ในระดับใกล้เคียงกับไตรมาสเดียวกันปีก่อน ธนาคารกรุงเทพยังคงแนวทางการดำเนินธุรกิจด้วยความระมัดระวังและรอบคอบ พร้อมทั้งรักษาเสถียรภาพ ฐานะการเงิน สภาพคล่อง และเงินกองทุนให้อยู่ในระดับที่เหมาะสม เพื่อการเติบโตอย่างมั่นคงและยั่งยืน ณ…
กลุ่มทิสโก้ เผยผลประกอบการไตรมาส 1/2568 กำไรสุทธิ 1,643 ล้านบาท ลดลง 5.2% จากปีก่อน สะท้อนภาวะเศรษฐกิจที่ยังคงเปราะบาง ขณะที่สถานะการเงินยังคงแข็งแกร่ง โดยกลุ่มทิสโก้ และ ธนาคารทิสโก้ ได้รับการเพิ่มอันดับเครดิตองค์กรจาก ทริสเรทติ้ง เป็นระดับ “A” และ “A+” ตามลำดับ นายศักดิ์ชัย พีชะพัฒน์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหารกลุ่มทิสโก้ (Mr. Sakchai Peechapat, Group Chief Executive, TISCO Financial Group Public Company Limited) เปิดเผยว่า เศรษฐกิจไทยในช่วงไตรมาสแรกของปี 2568 เผชิญกับความท้าทายจากหลายปัจจัยทั้งในประเทศและต่างประเทศ จากความตึงเครียดของสงครามการค้าที่ยืดเยื้อ และเหตุแผ่นดินไหวที่สร้างความตื่นตระหนกและกระทบต่อความเชื่อมั่น กดดันภาคเศรษฐกิจที่เปราะบางอยู่แล้วให้อ่อนแอลงยิ่งขึ้น นอกจากนี้ ยังต้องจับตาความเสี่ยงใหม่จากมาตรการภาษีตอบโต้จากสหรัฐฯ ที่เริ่มขึ้นในเดือนเมษายน 2568 ทั้งนี้ ประเมินว่า อัตราการขยายตัวของเศรษฐกิจไทยในปี 2568 จะยังมีความท้าทายสูง คาดการณ์ว่า จะเติบโตเพียง 1.5-2% โดยขึ้นอยู่กับผลของการเจรจาต่อรองอัตราภาษีกับสหรัฐฯ และผลกระทบข้างเคียงในภูมิภาค ผลกระทบจากเศรษฐกิจดังกล่าว ส่งผลให้กำไรสุทธิในไตรมาส 1/2568 ของกลุ่มทิสโก้ ปรับตัวลดลง 5.2% จากไตรมาส 1 ของปีที่แล้ว มาอยู่ที่ 1,643 ล้านบาท โดยมีสาเหตุจากรายได้ดอกเบี้ยที่ลดลง สอดรับกับการปรับลดอัตราดอกเบี้ยนโยบายของธนาคารแห่งประเทศไทย และการให้ความช่วยเหลือลูกหนี้ภายใต้โครงการ “คุณสู้ เราช่วย” ผ่านการปรับโครงสร้างหนี้ให้แก่ลูกหนี้กลุ่มเปราะบางเพื่อช่วยลดภาระดอกเบี้ยลง ด้านตลาดรถยนต์ในประเทศยังคงซบเซา ยอดขายรถยนต์ใหม่ในไตรมาสแรกลดลงเกือบ 10% ส่งผลให้การปล่อยสินเชื่อเช่าซื้อรถใหม่เป็นไปอย่างยากลำบาก แม้ว่าทิสโก้จะสามารถเพิ่ม Penetration Rate ได้ จากการเป็นพาร์ทเนอร์กับแบรนด์ใหม่ ๆ มากขึ้น รวมถึงค่าธรรมเนียมธุรกิจประกันภัยที่ชะลอตัวต่อเนื่อง นอกจากนี้ กลุ่มทิสโก้ได้เพิ่มระดับการตั้งสำรองหนี้เผื่อสงสัยจะสูญมาอยู่ที่ 0.7% ของสินเชื่อเฉลี่ย เพื่อรองรับการขยายตัวของสินเชื่อที่ให้ผลตอบแทนสูง (High Yield Loans) และความเสี่ยงจากความไม่แน่นอนทางเศรษฐกิจ ด้านธุรกิจค่าธรรมเนียม ธุรกิจหลักทรัพย์จัดการกองทุนยังคงเติบโตได้ดีต่อเนื่อง จากการนำเสนอผลิตภัณฑ์กองทุนใหม่…
“บลจ.เอ็มเอฟซี” ปลื้มคว้า 3 รางวัลชนะเลิศงาน “Best of the Best Awards 2025” ประเภทรางวัล “Best Asset Management Company – Best Investor Education – Best Member Communications” จัดโดย Asia Asset Management ณ ฮ่องกง สะท้อนความสำเร็จในระดับสากล บริษัทหลักทรัพย์จัดการกองทุน เอ็มเอฟซี จำกัด (มหาชน) หรือ MFC ได้รับรางวัลชนะเลิศจากเวทีระดับสากล ในงาน Best of the Best Awards 2025 จำนวน 3 รางวัล ได้แก่ รางวัล Best Asset Management Company , รางวัล Best Investor Education และรางวัล Best Member Communications ในกลุ่มรางวัล “ระดับประเทศ” จัดโดย Asia Asset Management นิตยสารชั้นนำด้านการลงทุนในภูมิภาคเอเชีย โดยมีนายธนโชติ รุ่งสิทธิวัฒน์ (ซ้าย) กรรมการผู้จัดการ พร้อมนายเกษตร ชัยวันเพ็ญ ประธานเจ้าหน้าที่การตลาด (ขวา) บลจ.เอ็มเอฟซี ขึ้นรับรางวัลจากนาย Tan Lee Hock (กลาง) ผู้ก่อตั้งนิตยสาร Asia Asset Management ในงานเลี้ยง Best of the Best Awards Dinner เมื่อเร็ว ๆ นี้ ณ ฮ่องกง นายธนโชติ…
บริษัทหลักทรัพย์จัดการกองทุน ยูโอบี (ประเทศไทย) จำกัด (UOBAM) เสนอบทความเพื่อเพิ่มความเข้าใจเกี่ยวกับตราสารหนี้ยั่งยืน ESG Bond ว่าตราสารฯ ดังกล่าวมีกี่รูปแบบ และมีความแตกต่างกันอย่างไร แนวคิดการเงินเพื่อความยั่งยืน หรือ Sustainable Finance นั้น หมายถึงการระดมทุนในโครงการที่ส่งเสริมให้เกิดผลกระทบเชิงบวกต่อสังคมและสิ่งแวดล้อม โดยคำนึงถึงหลัก ESG (Environmental, Social, and Governance) ถือเป็นหนึ่งในกลไกที่ช่วยขับเคลื่อนโลกไปสู่เป้าหมายการพัฒนาที่ยั่งยืน (Sustainable Development Goals: SDGs) ตามกรอบแนวคิดขององค์การสหประชาชาติ โดยใช้เงินทุนกระตุ้นให้บริษัทและองค์กรต่าง ๆ หันมาพัฒนาโครงการที่ตอบโจทย์ด้านความยั่งยืน (ที่มา: United Nation Global Compact) ตัวอย่างของ Sustainable Finance มีหลายรูปแบบ เช่น การลงทุนโดยตรงผ่านตลาดหุ้น และกองทุนรวม รวมไปถึงการลงทุนในตราสารหนี้ยั่งยืน หรือคุ้นเคยกันในชื่อ “ESG Bond” ซึ่งบทความนี้จะพาไปรู้จัก ESG Bond ว่าแตกต่างจากตราสารหนี้ปกติอย่างไร มีรูปแบบไหนบ้าง ทำไมจึงเป็นผลิตภัณฑ์ทางการเงินที่มีโอกาสเติบโตสูง ESG Bond คืออะไร ทำไมจึงสำคัญ ESG Bond คือ ตราสารหนี้ที่ผู้ออกตราสารมีวัตถุประสงค์การระดมทุนเพื่อนำไปใช้กับโครงการที่เกี่ยวข้องกับแนวคิดการเติบโตอย่างยั่งยืน ภายใต้การพัฒนาด้านสังคม สิ่งแวดล้อม และการมีธรรมาภิบาลที่ดี ซึ่งจะต้องได้รับมาตรฐานจากหน่วยงานกำกับ เช่น The International Capital Market Association (ICMA), ASEAN Capital Markets Forum (ACMF) และ Climate Bonds Standards เป็นต้น (ที่มา: ThaiBMA) รูปแบบการระดมทุนของ ESG Bond จะมีลักษณะคล้ายกับตราสารหนี้ปกติทั่วไป ต่างกันเพียงวัตถุประสงค์ของการระดมทุนเท่านั้น โดยสามารถออกได้ทั้งจากภาครัฐและเอกชน เพื่อเสนอขายให้แก่ผู้ลงทุนสถาบัน และผู้ลงทุนรายย่อย ประโยชน์ของ ESG Bond จึงเข้ามาช่วยให้ธุรกิจเปลี่ยนผ่านไปสู่การเป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม ภายใต้กฎเกณฑ์และเงื่อนไขที่มาตรฐานโลกกำหนด ด้วยการเข้าถึงแหล่งเงินทุนที่มีต้นทุนการเงินที่เหมาะสม สามารถรับมือกับความเสี่ยงและโอกาสการแข่งขันทางธุรกิจ…
บมจ.ไทยสมุทรประกันชีวิต รักคือพลังของชีวิต นำโดยคุณนุสรา (อัสสกุล) บัญญัติปิยพจน์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหารและกรรมการผู้จัดการ พร้อมด้วยที่ปรึกษาอาวุโส คณะผู้บริหาร และพนักงาน ร่วมจัดกิจกรรม “OCEAN LIFE Songkran Festival 2025” เพื่อร่วมเฉลิมฉลองเทศกาลสงกรานต์หรือปีใหม่ไทย พร้อมสืบสานขนบธรรมเนียมประเพณีไทยอันงดงาม โดยภายในงานเริ่มต้นด้วยพิธีสรงน้ำพระพุทธรูป และรดน้ำดำหัวขอพรผู้บริหารเพื่อความเป็นสิริมงคล โดยทุกคนร่วมแต่งกายด้วยผ้าไทยและเสื้อผ้าสีสันสดใส สร้างบรรยากาศแห่งความสุข พร้อมเติมความสนุกสนานรื่นเริงด้วยรำวงย้อนยุค กิจกรรมสอยดาว และการออกร้าน โดยนำรายได้ทั้งหมดจะนำไปส่งมอบความสุข และรอยยิ้มให้กับสังคมไทยต่อไป งานนี้ไม่เพียงแต่สะท้อนถึงการให้ความสำคัญกับวัฒนธรรมไทยเท่านั้น แต่ยังตอกย้ำเจตนารมณ์ของ OCEAN LIFE ไทยสมุทรประกันชีวิตในการขับเคลื่อนธุรกิจด้วยหัวใจแห่งความรัก และการสร้างคุณค่าร่วมกับสังคมอย่างยั่งยืน