บริษัท พรูเด็นเชียล ประกันชีวิต (ประเทศไทย) จำกัด (มหาชน) หรือพรูเด็นเชียล ประเทศไทย เปิดกล่องผลิตภัณฑ์ประกันชีวิตกับพรู 888 วางแผนเพิ่มความมั่งคั่ง และความอุ่นใจทุกช่วงของชีวิต พร้อมส่งต่อหลักประกันที่มั่นคงให้กับครอบครัว ผลิตภัณฑ์ประกันชีวิต พรู 888 แบบประกันชีวิตที่ขายผ่านทุกช่องทางการขายของพรูเด็นเชียล ประเทศไทย ไม่ว่าจะเป็น ช่องทางตัวแทน รวมถึงช่องทางพันธมิตรต่างๆ (ธนาคารซีไอเอ็มบี ไทย, ธนาคารทหารไทยธนชาต, ธนาคารยูโอบี , AIS Insurance Service และเดอะวัน(The 1)) ที่มีจุดเด่นผลิตภัณฑ์ด้วยการชำระเบี้ยประกันภัยระยะสั้นเพียง 8 ปี และคุ้มครองถึงอายุ 88 ปี พร้อมรับเงินคืนทุกปี ปีละ 8% ของจำนวนเงินเอาประกันภัยเริ่มต้น ยาวจนถึงอายุ 87 ปี และรับเงินก้อนสูงถึง 888% ของจำนวนเงินเอาประกันภัยเริ่มต้น เมื่อครบกำหนดสัญญา นอกจากนี้ คุณลักษณะเด่นของแบบประกันชีวิต พรู 888 ยังคุ้มครองกรณีเสียชีวิตจากอุบัติเหตุรวมสูงสุด 6400% ของจำนวนเงินเอาประกันภัยเริ่มต้น หรือกรณีเสียชีวิตที่มิใช่จากอุบัติเหตุสูงสุด 800% ของจำนวนเงินเอาประกันภัยเริ่มต้น โดยพรู 888 เหมาะสำหรับลูกค้าที่วางแผนเกษียณต้องการมีเงินคืนที่แน่นอนรายปีจนถึงบั้นปลายในวัยเกษียณ และยังเหมาะกับผู้นำครอบครัวที่ต้องการส่งมอบมรดกให้ลูกหลาน รวมถึงนักลงทุนที่ต้องการกระจายความเสี่ยง ด้วยการจัดสรรเงินลงทุนมาอยู่ในสินทรัพย์ที่มีความเสี่ยงต่ำ และได้ผลตอบแทนที่แน่นอน อีกทั้งยังสามารถใช้สิทธิประโยชน์ในการลดหย่อนภาษีได้สูงสุดไม่เกิน 100,000 บาทต่อปี โดยลูกค้าที่สนใจสามารถดูรายละเอียดผลิตภัณฑ์และโปรโมชันเพิ่มเติมได้ที่เว็บไซต์ Prudential Thailand (www.prudential.co.th) ผลิตภัณฑ์นี้มีชื่อทางการตลาดที่แตกต่างกันไปในแต่ละช่องทางการจัดจำหน่าย สามารถขอรายละเอียดเพิ่มเติมเกี่ยวกับผลิตภัณฑ์ได้ที่เครือข่ายพันธมิตรของพรูเด็นเชียล ประเทศไทย ทั่วประเทศ
Author: staff
ธนาคารยูโอบี ประเทศไทยจับมือกับ Alibaba.com แพลตฟอร์มอีคอมเมิร์ซ B2B ของอาลีบาบาสำหรับการค้าระดับโลก หนุนผู้ประกอบการธุรกิจขนาดเล็กและขนาดกลาง (เอสเอ็มอี) ขยายธุรกิจบนอีคอมเมิรซ์ ร่วมเผยแนวทางการดำเนินธุรกิจ และนำเสนอโซลูชันทางการเงินที่จะช่วยเสริมศักยภาพธุรกิจเอสเอ็มอีขยายโอกาสสู่ตลาดต่างประเทศบนช่องทางออนไลน์ ความร่วมมือระหว่างธนาคารยูโอบี ประเทศไทย และ Alibaba.com ตอกย้ำให้เห็นถึงความมุ่งมั่นของทั้งสององค์กรที่พร้อมจะรวมองค์ความรู้และความเชี่ยวชาญ เพื่อมอบคำแนะนำและเครื่องมือทางการเงินอันเป็นประโยชน์ให้ธุรกิจเอสเอ็มอีไทยสามารถดำเนินธุรกิจบนช่องทางออนไลน์ได้อย่างมีประสิทธิภาพ นางสยุมรัตน์ มาระเนตร ผู้ช่วยกรรมการผู้จัดการใหญ่ Head of Business Banking ธนาคารยูโอบี ประเทศไทย กล่าวว่า “มีรายงานคาดการณ์ว่าตลาดอีคอมเมิร์ซ B2B ทั่วโลกจะมีมูลค่าสูงถึงประมาณ 7.3 พันล้านดอลลาร์สหรัฐภายในปี 2570[1] ซึ่งตลอดระยะเวลากว่า 2 ทศวรรษที่ผ่านมาที่ธนาคารได้นำเสนอบริการเพื่อช่วยเหลือผู้ประกอบการเอสเอ็มอี เราเล็งเห็นว่าอีคอมเมิร์ซได้กลายมาเป็นเครื่องมือที่มีประสิทธิภาพและสร้างความเปลี่ยนแปลงให้แก่ผู้ประกอบการในการทำตลาดต่างประเทศ นอกจากนี้ ธนาคารยังตระหนักดีว่าการเข้าถึงแหล่งเงินทุนและบริการทางธุรกิจ เป็นสิ่งจำเป็นสำหรับผู้ประกอบการที่ต้องการขยายธุรกิจไปบนดิจิทัลแพลตฟอร์มที่เติบโตอย่างต่อเนื่อง ดังนั้นความร่วมมือในครั้งนี้จึงเป็นการผนึกความเชี่ยวชาญทางการเงินของธนาคารเข้ากับข้อมูลเชิงลึกในอุตสาหกรรมของ Alibaba.com เพื่อสนับสนุนลูกค้าเอสเอ็มอีเชื่อมต่อกับโอกาสใหม่และขยายธุรกิจไปต่างประเทศบนดิจิทัลแพลตฟอร์มระดับโลก” นายวาเรน หวัง Head of Thailand Business, Alibaba.com กล่าวว่า “ด้วยประสบการณ์มากกว่า 20 ปี ในการให้บริการธุรกิจในการซื้อขายสินค้าทั่วโลก Alibaba.com คือแพลตฟอร์ม B2B (Business-to-Business) ชั้นนำเพื่อการค้าระดับโลก รายงานการศึกษาของเราพบว่าร้อยละ 42 ของผู้ขายสินค้าใช้แพลตฟอร์มของเราเป็นช่องทางหลักในการคัดสรรสินค้า ในขณะที่ร้อยละ 60 ใช้แพลตฟอร์มเพื่อเป็นช่องทางสำหรับขยายธุรกิจไปตลาดต่างประเทศ ดังนั้นเราในฐานะแพลตฟอร์มที่ให้บริการซื้อขายแบบครบวงจรพร้อมจะอยู่เคียงข้างผู้ประกอบการเอสเอ็มอีไทยในการขยายธุรกิจไปต่างแดน และเราหวังที่จะได้ร่วมงานกับยูโอบีอย่างใกล้ชิดมากขึ้นเพื่อจัดงานสัมมนาที่เป็นประโยชน์ให้แก่ธุรกิจเอสเอ็มอีในอนาคต” โดยเมื่อเร็วนี้ๆ ธนาคารยูโอบีได้ร่วมกับ Alibaba.com จัดงานสัมมนาให้แก่ผู้ประกอบการธุรกิจค้าส่ง นำเข้าและส่งออก เพื่อนำเสนอ ข้อมูลเชิงลึกเกี่ยวกับการดำเนินธุรกิจแบบ B2B บนตลาดอีคอมเมิร์ซ ทิศทางและแนวโน้มของการนำเข้าและส่งออกสินค้า รวมไปถึงสถานการณ์ของตลาดในปัจจุบันเพื่อให้ผู้ประกอบการสามารถจัดหาสินค้าและผลิตภัณฑ์ที่เป็นที่นิยมและมีโอกาสในการขายได้มากขึ้น โดยผลสำรวจของ Alibaba.com พบว่าประเทศผู้ซื้อที่สนใจซื้อผลิตภัณฑ์จากประเทศไทยมากที่สุดคือ สหรัฐอเมริกา ปากีสถาน และ ประเทศกลุ่มตะวันออกกลาง สำหรับกลุ่มสินค้าที่มียอดการซื้อขายสูงสุงจากผู้ขายไทยได้แก่ กลุ่มสินค้าอาหารและเครื่องดื่ม กลุ่มสินค้าด้านการเกษตร กลุ่มสินค้าด้านความงาม กลุ่มสินค้าเสื้อผ้าและเครื่องประดับ และกลุ่มสินค้าบ้านและสวน นอกจากนี้ธนาคารได้นำเสนอโซลูชันทางการเงินและบริการธนาคารที่จะช่วยบริหารเงินสด และลดความเสี่ยงที่เกิดขึ้นจากการทำธุรกรรมต่างประเทศเพื่อตอบโจทย์ธุรกิจเอสเอ็มอีที่สนใจจะขยายธุรกิจบนแพลต์ฟอร์มออนไลน์ระหว่างประเทศ อาทิเช่น UOB Biztrade+, UOB Trade Finance,…
เมื่อวันที่ 20 มีนาคม 2567 ที่ผ่านมา บริษัท ทิพย กรุ๊ป โฮลดิ้งส์ จำกัด (มหาชน) หรือ TIPH จัดพิธีเปิดสำนักงานใหญ่แห่งใหม่อย่างเป็นทางการ ณ อาคารทิพยประกันภัย พระราม 3 โดยถือฤกษ์มงคลเวลา 05.30 น. อัญเชิญพระพุทธรูปตั้งประดิษฐานที่โต๊ะหมู่บูชา โดยมี ดร.สมพร สืบถวิลกุล ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท ทิพย กรุ๊ป โฮลดิ้งส์ จำกัด (มหาชน) และกรรมการผู้จัดการใหญ่ บริษัท ทิพยประกันภัย จำกัด (มหาชน) เป็นประธานในพิธีฯ พร้อมด้วยคณะผู้บริหารและพนักงาน TIPH เข้าร่วมในพิธีเปิดสำนักงานแห่งใหม่ดังกล่าว
นางชวินดา หาญรัตนกูล กรรมการผู้จัดการ บริษัทหลักทรัพย์จัดการกองทุน กรุงไทย จำกัด (มหาชน) (KTAM) เปิดเผยว่า ภาพรวมเศรษฐกิจและการบริโภคที่ปรับตัวดีขึ้นนั้น ส่งผลให้กองทุนรวมโครงสร้างพื้นฐานและกองทุนรวมอสังหาริมทรัพย์ ที่อยู่ภายใต้การบริหารจัดการของ KTAM สามารถสร้างผลตอบแทนได้เป็นที่น่าพอใจ บริษัทฯ จึงได้ประกาศจ่ายปันผลและจ่ายลดทุนกองทุนรวมโครงสร้างพื้นฐาน และกองทุนรวมอสังหาริมทรัพย์ พร้อมกันในวันที่ 20 มีนาคม 2567 นี้ กลุ่มกองทุนรวมโครงสร้างพื้นฐาน ประกอบด้วย กองทุนรวมโครงสร้างพื้นฐานโรงไฟฟ้ากลุ่มน้ำตาลครบุรี (KBSPIF) ลงทุนในสัญญาโอนสิทธิในรายได้จากการประกอบกิจการไฟฟ้า ของบริษัทผลิตไฟฟ้าครบุรี จำกัด (หรือ KPP ซึ่งเป็นบริษัทในเครือของกลุ่มน้ำตาลครบุรี) โดยโรงไฟฟ้านี้เป็นโรงไฟฟ้าชีวมวล ใช้กากอ้อยซึ่งเป็นวัสดุเหลือใช้จากการผลิตน้ำตาลเป็นเชื้อเพลิงหลัก กองทุนได้เข้าลงทุนในกระแสรายได้ของ KPP ซึ่งมีสัญญาจำหน่ายไฟฟ้าระยะยาวให้แก่ การไฟฟ้าฝ่ายผลิตแห่งประเทศไทย และกลุ่มน้ำตาลครบุรี โดยสัญญาเข้าลงทุนมีระยะเวลาถึงปี 2582 หรืออีกประมาณ 16 ปี ทั้งนี้ ที่ผ่านมากองทุนได้รับรายได้จากการผลิตกระแสไฟฟ้าอย่างสม่ำเสมอแม้แต่ในช่วงสถานการณ์ Covid จึงเหมาะกับนักลงทุนที่มีมุมมองการลงทุนระยะยาว มองหากระแสรายได้จากทรัพย์สินโครงสร้างพื้นฐานที่มีความจำเป็นในชีวิตประจำวัน สำหรับผลการดำเนินงานรอบระยะเวลาบัญชี 1 ต.ค. 2566 –31 ธ.ค. 2566 และกำไรสะสม กองทุนกำหนดจ่ายเงินปันผลครั้งที่ 14 ในอัตรา 0.1760 บาทต่อหน่วย อีกหนึ่งกองทุนที่น่าสนใจคือ กองทุนรวมโครงสร้างพื้นฐานเพื่ออนาคตประเทศไทย (TFFIF) ที่ลงทุนในสิทธิในรายได้ 45% ของรายได้ค่าผ่านทางสุทธิ ที่จัดเก็บได้จากโครงการทางพิเศษฉลองรัช และทางพิเศษบูรพาวิถี ซึ่งบริหารโดยการทางพิเศษแห่งประเทศไทย (กทพ.) สัญญามีระยะเวลาคงเหลือประมาณ 24 ปี (สิ้นสุดปี 2591) นอกจากนี้ ยังได้รับอานิสงส์จากกิจกรรมทางเศรษฐกิจและการปรับขึ้นค่าผ่านทาง กองทุนนี้จึงเหมาะกับนักลงทุนที่มีมุมมองการลงทุนระยะยาว มองหาทรัพย์สินโครงสร้างพื้นฐานที่มีรายได้เติบโตตามภาวะเงินเฟ้อ และการเพิ่มขึ้นของผู้ใช้บริการทางพิเศษทั้งใน 2 เส้นทางนี้ สำหรับผลการดำเนินงานรอบระยะเวลาบัญชี 1 ต.ค. 2566 –31 ธ.ค. 2566 และกำไรสะสม กองทุนกำหนดจ่ายเงินปันผลครั้งที่ 21 ในอัตรา 0.1039 บาทต่อหน่วย กองทุนรวมโครงสร้างพื้นฐานโรงไฟฟ้าพระนครเหนือชุดที่ 1 การไฟฟ้าฝ่ายผลิตแห่งประเทศไทย…
นายสาระ ล่ำซำ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บมจ.เมืองไทยประกันชีวิต (ที่ 3 จากขวา) มอบเงินสนับสนุนจากกิจกรรมเมืองไทยสไมล์โซไซตี้ : แสงแก้ว โดยสมาชิกเมืองไทยสไมล์คลับบริจาคคะแนนสะสมสไมล์พ้อยท์ เพื่อสมทบทุนในโครงการแสงแก้ว ผ่าตัดต้อกระจกผู้สูงวัยที่ขาดแคลน ให้แก่ พญ.พัทธ์ศรัณย์ ธนะสุพรรณ ผู้อำนวยการโรงพยาบาลจักษุบ้านแพ้ว (ที่ 3 จากซ้าย) เป็นจำนวนเงิน 1,000,000 บาท เพื่อดำเนินการคัดกรองและผ่าตัดให้แก่ผู้สูงวัยที่เป็นโรคต้อกระจก ซึ่งเป็นการส่งเสริมและพัฒนาคุณภาพชีวิตของผู้สูงวัยให้เข้าถึงการรักษาผ่าตัดโรคต้อกระจก ทำให้ผู้สูงวัยกลับมาใช้ชีวิตได้อย่างมีความสุขและรอยยิ้ม โดยมี น.ส.อนัญญา อัตชู ผู้อำนวยการศูนย์พัฒนาการจัดสวัสดิการสังคมผู้สูงอายุบ้านบางแค (ที่ 2 จากขวา) นางสาวนิรัตน์ บูชาสุข รองกรรมการผู้จัดการ บมจ.เมืองไทยประกันชีวิต (ขวาสุด) นางพิตราภรณ์ บุณยรัตพันธุ์ รองประธานกรรมการมูลนิธิเมืองไทยยิ้ม (ซ้ายสุด) และนางปุณฑริกา ใบเงิน กรรมการมูลนิธิ เมืองไทยยิ้ม (ที่ 2 จากซ้าย) ร่วมในพิธี ณ อาคารเมืองไทยประกันชีวิต เมื่อเร็วๆ นี้
นางสาวนารถนารี รัฐปัตย์ กรรมการผู้จัดการ บริษัท บริหารสินทรัพย์สุขุมวิท จำกัด (บสส.) หรือ SAM ให้การต้อนรับ นายประสิชฌ์ วีระศิลป์ รักษาการแทนกรรมการผู้จัดการ พร้อมคณะผู้บริหาร ธนาคารพัฒนาวิสาหกิจขนาดกลางและขนาดย่อมแห่งประเทศไทย (ธพว.) หรือ SME D Bank เนื่องในโอกาสเข้ารับตำแหน่งกรรมการผู้จัดการคนใหม่ของ SAM เป็นวันแรก เกี่ยวกับ SAM : บริษัท บริหารสินทรัพย์สุขุมวิท จำกัด (บสส.) หรือ SAM เป็นบริษัทบริหารสินทรัพย์ของรัฐภายใต้กำกับของธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) มีบทบาทในการบริหารจัดการสินทรัพย์ด้อยคุณภาพโดยยึดหลักธรรมาภิบาล เพื่อขับเคลื่อนระบบสถาบันการเงินให้เติบโตอย่างมั่งคั่งและยั่งยืน วิสัยทัศน์ : เป็นบริษัทบริหารสินทรัพย์แห่งรัฐ ที่มีบทบาทสนับสนุนให้ประชาชนและภาคธุรกิจฟื้นตัวอย่างยั่งยืน
นางวรางค์ ไชยวรรณ กรรมการและรองประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท ไทยประกันชีวิต จำกัด (มหาชน) เป็นผู้แทนบริษัทฯ รับรางวัล Leading Investor for Corporate ESG Bond 2023 จากนายไพบูลย์ ดำรงวารี ผู้ช่วยเลขาธิการ สายระดมทุน สำนักงานคณะกรรมการกำกับหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ (ก.ล.ต.) ในงานประกาศรางวัล Best Bond Awards 2023 จัดโดยสมาคมตลาดตราสารหนี้ไทย โดยรางวัลดังกล่าวมอบให้กับผู้ลงทุนในตราสารหนี้ภาคเอกชนเพื่อสิ่งแวดล้อม สังคม และความยั่งยืน ที่มีความโดดเด่นในปี 2566 โดยบริษัทฯ มุ่งดำเนินธุรกิจอย่างโปร่งใสและยั่งยืน พร้อมรับผิดชอบต่อสังคมผ่านการลงทุนที่คำนึงถึงผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อม สังคม และธรรมาภิบาล (ESG)
เอไอเอ ประเทศไทย นำโดย นายแพทย์ประมุกข์ ทรงจักรแก้ว (ที่ 2 จากซ้าย) ที่ปรึกษาอาวุโสฝ่ายปฏิบัติการ พร้อมด้วยนางสาวรพีพร วงศ์ทองคำ (ที่ 2 จากขวา) ผู้อำนวยการฝ่ายสื่อสารองค์กรและภาพลักษณ์ เป็นตัวแทนมอบเงินบริจาคจำนวน 500,000 บาท แก่ศาสตราจารย์นายแพทย์อภิชาติ อัศวมงคลกุล คณบดีคณะแทพย์ศาสตร์ศิริราชพยาบาล (กลาง) เพื่อร่วมสนับสนุนโครงการ “ศิริราช เดิน-วิ่ง ครั้งที่ 16” ที่ทางคณะแพทย์ศาสตร์ศิริราชพยาบาล มหาวิทยาลัยมหิดลจะจัดขึ้นในวันอาทิตย์ที่ 28 เมษายน 2567 เพื่อส่งเสริมให้คนไทยตระหนักถึงการดูแลสุขภาพร่างกายและจิตใจ เพื่อการมีชีวิตที่มีความสุขและแข็งแรงอย่างยั่งยืน ซึ่งสอดคล้องกับพันธกิจของเอไอเอที่มุ่งสนับสนุนให้คนไทยมีสุขภาพและชีวิตที่ดีขึ้น ตามคำมั่นสัญญา ‘Healthier, Longer, Better Lives’
นายเชษฐา แหล่ป้อง รองผู้จัดการธนาคารเพื่อการเกษตรและสหกรณ์การเกษตร (ธ.ก.ส.) และนายจาตุรงค์ สุริยาศศิน รองผู้ว่าการธุรกิจการไฟฟ้านครหลวง ร่วมลงนามบันทึกข้อตกลงความร่วมมือโครงการร่วมพัฒนาอาคารอัจฉริยะและการพัฒนาโครงการด้านพลังงานและอนุรักษ์พลังงาน เพื่อส่งเสริมและสนับสนุนการใช้พลังงานอย่างยั่งยืน (Sustainable Development Goals) โดยการใช้เทคโนโลยีและพลังงานที่เป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อม เพื่อรักษาสมดุลด้านสิ่งแวดล้อม และพัฒนาองค์กรไปสู่การเป็นต้นแบบในด้านการใช้พลังงานทดแทน การขนส่งด้วยพลังงานไฟฟ้า ลดการปลดปล่อยก๊าซเรือนกระจกรองรับนโยบาย Carbon neutrality และมุ่งสู่การเป็นสังคมคาร์บอนต่ำ (Low Carbon Society) ภายใต้ความร่วมมือครั้งนี้ มุ่งเน้นสร้างการเติบโตด้านการพัฒนาออกแบบระบบพลังงานที่เชื่อมโยงกับระบบไฟฟ้า เช่น การเพิ่มประสิทธิภาพระบบไฟฟ้าภายใน ธ.ก.ส.ให้สอดคล้องกับนโยบายแผนพัฒนาการใช้พลังงานการสนับสนุนให้หน่วยงานในสังกัด ธ.ก.ส. เป็น Green Building พัฒนาการออกแบบ และสนับสนุนการติดตั้งสถานีอัดประจุไฟฟ้า (EV Charging Station) เพื่อการขนส่งด้านพลังงานไฟฟ้า การส่งเสริมความรู้ด้านการใช้พลังงานทดแทนและการรักษาสิ่งแวดล้อมเพื่อความยั่งยืนควบคู่กับการสร้างจิตสำนึกและความรับผิดชอบต่อสิ่งแวดล้อมให้แก่บุคลากร ร่วมวิจัยและออกแบบระบบบริหารทรัพยากรมนุษย์ การบริหารดิจิทัล และการบริหารองค์กรด้วยเทคโนโลยีดิจิทัล เพื่อสร้างการเติบโตและความมั่นคงภายใต้ระบบจำหน่ายไฟฟ้าที่ทันสมัย มีประสิทธิภาพตามมาตรฐาน และอำนวยความสะดวกผู้ใช้ไฟฟ้าด้วยบริการที่สะดวก รวดเร็ว ตอบสนองการเปลี่ยนแปลงทางเทคโนโลยีด้านพลังงานไฟฟ้า (Disruptive Technology) โดยมีคณะผู้บริหาร พนักงาน กฟน. ธ.ก.ส. และคณะที่ปรึกษาโครงการเพิ่มประสิทธิภาพเชิงนิเวศเศรษฐกิจ (Eco-Efficiency) จากสำนักงานพัฒนาวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีแห่งชาติ (สวทช.) ร่วมเป็นสักขีพยาน เมื่อวันที่ 19 มีนาคม 2567 ณ ห้องโถงชั้น 2 อาคารทาวเวอร์ ธ.ก.ส. สำนักงานใหญ่ กรุงเทพฯ
บริษัท เงินติดล้อ จำกัด (มหาชน) หรือ TIDLOR นำโดย นางสาวฉวีมาศ แย้มยิ้ม (ที่ 4 จากซ้าย) ผู้บริหารระดับสูง ฝ่ายพัฒนาและบริหารงานขายสาขาและฝ่ายพัฒนาคุณภาพสินเชื่อ และ นายกาญจน์ณัฐ เฉลิมจุฬามณี (กลาง) ผู้อำนวยการอาวุโสศูนย์การเรียนรู้เงินติดล้อ เป็นตัวแทนชาวเงินติดล้อต้อนรับคณะผู้บริหารและพนักงานจาก บริษัท บริหารสินทรัพย์ อัลฟาแคปปิตอล จำกัด จำนวน 17 คน ร่วมกิจกรรม TIDLOR Culture Wow เพื่อบอกเล่าและแลกเปลี่ยนแนวทางการสร้างค่านิยมและวัฒนธรรมองค์กร นอกจากนี้ยังได้มีการเยี่ยมชมกระบวนการทำงานของฝ่ายต่างๆ เพื่อสัมผัสบรรยากาศการทำงานแบบ Work Smart เช่น ทีม A&D (Analytics and Development), IT และ Insurance ที่มีวิธีการทำงานภายในทีมแบบ Start-Up พร้อมร่วมถาม-ตอบ (Q&A) กับผู้บริหารและทีม Culture Gangster ถึงแนวทางการบริหารธุรกิจและวิธีการสร้างค่านิยมและวัฒนธรรมองค์กรที่ใช้ได้จริงอย่างใกล้ชิด กิจกรรมดังกล่าวจัดขึ้นเพื่อแบ่งปันความรู้และประสบการณ์การสร้างวัฒนธรรมองค์กรไปยังองค์กรต่างๆ ซึ่งถือเป็นพื้นฐานสำคัญในการสร้างความแข็งแกร่งในการดำเนินธุรกิจของ บมจ.เงินติดล้อ ในปัจจุบัน และหวังเป็นอย่างยิ่งว่าจะเป็นประโยชน์กับการสร้างวัฒนธรรมองค์กรแก่หน่วยงานอื่นๆ ต่อไป กิจกรรมดังกล่าวจัดขึ้น ณ สำนักงานใหญ่ บมจ.เงินติดล้อ อาคารอารีย์ ฮิลล์ เมื่อเร็วๆ นี้ ทั้งนี้หลักสูตร TIDLOR Culture Wow และ TIDLOR Culture Camp ภายใต้โครงการ TIDLOR Academy จัดขึ้นสำหรับบุคคลและบริษัทภายนอกที่สนใจการสร้างวัฒนธรรมองค์กร ผ่านแนวคิดและประสบการณ์จริงในการขับเคลื่อนธุรกิจด้วยวัฒนธรรมองค์กรในแบบฉบับเงินติดล้อ เพื่อเป็นแนวทางให้กับหน่วยงานต่างๆ ทั้งในและต่างประเทศ ในการสร้างวัฒนธรรมองค์กรให้แข็งแกร่งและยั่งยืนต่อไป สำหรับผู้สนใจออกแบบค่านิยมและวัฒนธรรมองค์กรผ่านเวิร์กชอปที่สามารถนำไปใช้ได้จริง สามารถดูรายละเอียดเพิ่มเติมและสมัครเข้าร่วมกิจกรรมได้ที่ www.tidlor.com/academy หรือสามารถติดต่อสอบถามข้อมูลเพิ่มเติมได้ที่ 02-792-1990