ธนาคารกรุงเทพ รุกหนักผลักดันผู้ประกอบการไทยเดินหน้าสู่ธุรกิจสีเขียวอย่างจริงจัง พร้อมเปิดตัว “สินเชื่อบัวหลวงกรีนเพื่อการเปลี่ยนผ่านสู่ความยั่งยืนด้านสิ่งแวดล้อม”วงเงิน 1 หมื่นล้านบาท คิดดอกเบี้ยต่ำ กู้ได้ยาวสูงสุด 8 ปี มุ่งช่วยธุรกิจปรับตัวรับเทรนด์โลกสีเขียว ยกระดับขีดความสามารถในการแข่งขัน ต่อยอดทางธุรกิจในระยะยาว สานเป้าหมาย ‘เพื่อนคู่คิด’ เติบโตเคียงข้างสังคมไทยอย่างยั่งยืน นายชาติศิริ โสภณพนิช กรรมการผู้จัดการใหญ่ ธนาคารกรุงเทพ จำกัด (มหาชน)เปิดเผยว่า ตามที่ประเทศไทยได้ร่วมประกาศเจตนารมณ์ในที่ประชุมรัฐภาคกรอบอนุสัญญาสหประชาชาติว่าด้วยการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ สมัยที่ 26 หรือCOP26 ว่าจะบรรลุเป้าหมายความเป็นกลางทางคาร์บอน (Carbon Neutrality) ภายในปี 2050 และเป้าหมายการปล่อยก๊าซเรือนกระจกสุทธิเป็นศูนย์ (Net Zero Greenhouse Gas Emission) ภายในปี 2065 แม้จะยังมีเวลาอีกหลายสิบปี แต่ถือเป็นเรื่องจำเป็นที่ธุรกิจจะต้องเริ่มปรับตัวตั้งแต่วันนี้ เนื่องจากในบางเขตเศรษฐกิจ เช่น สหภาพยุโรป (EU) ได้ประกาศมาตรการปรับคาร์บอนก่อนข้ามพรมแดน (Carbon Border Adjustment Mechanism – CBAM) ซึ่งจะมีผลตั้งแต่ปี 2569 เป็นต้นไป หากสินค้าในรายการที่กำหนดมีการปล่อยคาร์บอนเกินกว่าที่ EU กำหนด ผู้นำเข้าจะต้องซื้อ CBAM Certificate มาชดเชย ซึ่งหมายถึงการนำเข้าสินค้าของเราจะมีต้นทุนที่สูงขึ้นจนอาจแข่งขันได้ลำบาก และมาตรการลักษณะนี้กำลังจะถูกบังคับใช้ในอีกหลายประเทศ เช่น สหราชอาณาจักร สหรัฐอเมริกา และออสเตรเลียด้วย ดังนั้น แรงกดดันให้ธุรกิจต้องปรับตัวได้เริ่มเกิดขึ้นแล้ว สำหรับธนาคารกรุงเทพ ในฐานะ ‘ธนาคารชั้นนำระดับภูมิภาค’ ที่ดำเนินธุรกิจโดยให้ความสำคัญกับความยั่งยืน ซึ่งสะท้อนออกมาในทางปฏิบัติในหลากหลายมิติ โดยเฉพาะการสนับสนุนสินเชื่อแก่กิจกรรมสีเขียว (Green Loan) มาอย่างต่อเนื่อง ควบคู่กับการให้ความรู้และข้อมูลที่จำเป็นแก่ลูกค้า ตลอดจนอบรมให้ความรู้แก่เจ้าหน้าที่สินเชื่อเพื่อให้พร้อมสำหรับการให้คำปรึกษาแนะนำแก่ลูกค้า เสมือนเป็น “เพื่อนคู่คิด มิตรคู่บ้าน” ของลูกค้า ล่าสุด ธนาคารกรุงเทพ ได้สร้างสรรค์ “สินเชื่อบัวหลวงกรีนเพื่อการเปลี่ยนผ่านสู่ความยั่งยืนด้านสิ่งแวดล้อม” (Bualuang Green Financing for Transition to Environmental Sustainability) เปิดตัวครั้งแรกภายในงาน…
Author: staff
AIA+ (เอไอเอ พลัส) แอปพลิเคชันที่รวมทุกบริการจาก เอไอเอ เพื่อความสะดวกในการจัดการกรมธรรม์แบบครบวงจรตามสโลแกน “แอปเดียวจบ ครบทุกบริการ” เปิดตัวแคมเปญ ESG ครั้งใหญ่ “AIA+ Go Green”ภายใต้สโลแกน “ลดการพรินต์ เพิ่มการปลูก สู่หมื่นต้นกับ AIA+” เชิญชวนผู้ถือกรมธรรม์หันมาดำเนินธุรกรรมไร้กระดาษบนแอปพลิเคชัน AIA+ กับบริการ e-Document และ e-Receipt โดยตั้งเป้าหมาย 100,000 กรมธรรม์ ภายในสิ้นปี2567 โดยทุกๆ 10 กรมธรรม์ เอไอเอ จะช่วยปลูกต้นไม้ 1 ต้น เพื่อนำไปสู่การเพิ่มพื้นที่สีเขียวให้กับประเทศไทย ด้วยการปลูกต้นไม้รวม10,000 ต้น แคมเปญ AIA+ Go Green เป็นการเดินหน้าตามนโยบาย ESG ของ เอไอเอ ประเทศไทย ที่ได้เข้ามาเป็นส่วนหนึ่งของชีวิตผู้คนมากมายในสังคมไทยตลอดระยะเวลากว่า 86 ปี โดยเอไอเอตระหนักถึงความสำคัญของการยึดมั่นในการดำเนินธุรกิจโดยควบคู่กับการดูแลด้านสิ่งแวดล้อม ความรับผิดชอบต่อสังคม และธรรมาภิบาล (Environmental, Social, and Governance – ESG) ซึ่งช่วยส่งเสริมสุขภาพและยกระดับชีวิตของทุกคนให้ดีขึ้นอย่างยั่งยืน ทั้งยังตระหนักถึงผลกระทบของภาวะโลกเดือด (Global Boiling) ที่จำเป็นต้องอาศัยความร่วมมือจากทุกภาคส่วนในการรับมือและแก้ไข AIA+ จึงริเริ่มแคมเปญ “AIA+ Go Green” ขึ้นเพื่อเชิญชวนให้ผู้ถือกรมธรรม์เอไอเอทุกราย ได้มีส่วนร่วมในการลดการใช้ทรัพยากรและหันมาดำเนินธุรกรรมไร้กระดาษ(Paperless Transactions) ผ่านแอปพลิเคชัน AIA+ และใช้บริการ e-Document (เอกสารอิเล็กทรอนิกส์) และ e-Receipt (ใบเสร็จรับเงินชำระเบี้ยฯ รูปแบบอิเล็กทรอนิกส์) ที่สะดวก ใช้งานง่าย และสามารถช่วยจัดเก็บทุกเอกสารสำคัญได้อย่างปลอดภัยพร้อมใช้งานตลอดเวลา ดร. คริสเตียน โรแลนด์ ประธานเจ้าหน้าที่ฝ่ายกลยุทธ์และดิจิทัล เอไอเอ ประเทศไทย เผยว่า “อีกหนึ่งการขับเคลื่อนสำคัญของแนวปฏิบัติ ESG ของ เอไอเอ คือการนำเทคโนโลยียุคดิจิทัลเข้ามาเพิ่มประสิทธิภาพ ความสะดวกสบาย…
รู้ใจ ประกันออนไลน์ ผู้บุกเบิกนวัตกรรมในอุตสาหกรรมประกันภัยรถยนต์ เปิดตัวแคมเปญใหม่ล่าสุด “ลดความหงุดหงิด เหลือนิดเดียว” ส่งมอบประสบการณ์การประกันภัยที่สะดวกสบายและคุ้มค่าให้กับลูกค้าเมื่อเกิดอุบัติเหตุ พร้อมสร้างความเชื่อมั่นในการบริการที่รู้ใจกว่า ประหยัดกว่า แคมเปญนี้เน้นย้ำถึงความมุ่งมั่นของรู้ใจในการทำให้ประกันภัยรถยนต์เป็นเรื่องง่าย ราคาดี เชื่อถือได้ พร้อมให้ลูกค้าสบายใจไร้กังวล “รู้ใจ ลดความหงุดหงิด เหลือนิดเดียว” เป็นการย้ำถึงบริการขั้นกว่าที่ช่วยลดความหงุดหงิด และความกังวลใจของลูกค้าเมื่อเกิดอุบัติเหตุ โฆษณาใหม่นี้นำแสดงโดย “จิงโจ้” ที่เป็นตัวแทนของความมุ่งมั่นในการให้ความช่วยเหลืออย่างทันท่วงที พร้อมบริการเคลมที่ราบรื่นและเชื่อถือได้ โฆษณาชิ้นใหม่นี้สร้างสรรค์ขึ้นเพื่อสะท้อนถึงความเรียบง่ายในการแจ้งเคลมประกันเมื่อเกิดอุบัติเหตุ โดยเน้นการแจ้งเคลมง่าย สะดวกสบาย และมีประสิทธิภาพ นำเสนอกลยุทธ์การสื่อสารที่ตอกย้ำให้เห็นภาพว่า การมีประกันรถยนต์ที่เชื่อถือได้ ราคาดี พร้อมบริการที่มีคุณภาพจะช่วยให้สิ่งต่าง ๆ ดีขึ้นอย่างไร ซึ่งรู้ใจเป็นแบรนด์ที่ได้นำนวัตกรรมดิจิทัลเข้ามาให้บริการลูกค้าโดยตรง นอกจากนี้ยังมีอู่และศูนย์ซ่อมในเครือกว่า 1,600+ แห่งทั่วประเทศ การันตีถึงจุดเกิดเหตุภายใน 30 นาที ซึ่งการให้บริการที่มีคุณภาพของรู้ใจสะท้อนจากคะแนนรีวิวจากลูกค้าจริงทั้งในด้านการบริการที่ดีถึง 4.9/5 และคะแนนรีวิวเคลมดี 4.7/5 แคมเปญนี้นำเสนอภายใต้คอนเซ็ปต์สุดสร้างสรรค์จาก BBDO Bangkok และตัวภาพยนตร์โฆษณาเป็นผลงานจากสุดยอดผู้กำกับมากฝีมือผู้คว้ารางวัลจากเวที Cannes Lions อั๋น วุฒิศักดิ์ อนรรฆพร จาก Factory 01 โดยหนังโฆษณาจากแคมเปญนี้ประกอบด้วย ภาพยนตร์โฆษณาเรื่อง Claim : ถ่ายทอดประสบการณ์เคลมที่ช่วยลดความหงุดหงิด ชมได้ที่นี่ ภาพยนตร์โฆษณาเรื่อง Review: ถ่ายทอดมุมมองความพึงพอใจต่อบริการเคลม ชมได้ที่นี่ นอกจากนี้ ยังมีโฆษณาสั้น 6 วินาที อย่าง “Garage และ Speed” ใช้เพื่อดึงดูดความสนใจผ่านทางช่องทางออนไลน์ : Speed Garage ด้าน ทสร บุณยเนตร ประธานเจ้าหน้าที่ฝ่ายครีเอทีฟ BBDO Bangkok กล่าวว่า “แนวคิดสร้างสรรค์ของเราเกิดจากการเข้าใจปัญหาของผู้บริโภค และสิ่งที่แบรนด์ต้องการสื่ออย่างลึกซึ้ง เรามองเห็นถึงความหงุดหงิดเวลาที่คนเกิดอุบัติเหตุบนท้องถนน และการเคลมที่เป็นข้อกังวลหลักๆ ของคนที่มีประกันรถยนต์ เราอยากให้แบรนด์ได้นำเสนอวิธีแก้ปัญหาและส่งความเข้าใจที่มีต่อลูกค้า พร้อมเพิ่มอารมณ์ขันด้วยตัวละครคู่กรณีหัวร้อนตัวจิ๋วในกระเป๋าหน้าท้องและจิงโจ้ที่เข้ามาเอาความหงุดหงิดออกไป ไอเดียการสื่อสารนี้แสดงให้เห็นว่าการประกันภัยรถยนต์มอบความคุ้มครอง การบริการที่ใส่ใจที่เป็นมิตร พร้อมกับมอบความสบายใจและรอยยิ้มให้กับลูกค้าได้ในท้ายที่สุด” ในเดือนมิถุนายนที่ผ่านมา รู้ใจได้วางกลยุทธ์เพิ่มการรับรู้และจดจำแบรนด์ด้วยการเปิดตัวแคมเปญสื่อโฆษณานอกบ้าน (OOH media) ในพื้นที่กรุงเทพฯ ไม่ว่าจะเป็น…
บริษัท เงินติดล้อ จำกัด (มหาชน) หรือ TIDLOR อาสาช่วยลูกค้าและประชาชนทั่วไปลงทะเบียนรับสิทธิโครงการเติมเงิน 10,000 บาท ผ่านดิจิทัลวอลเล็ต พร้อมทั้งให้คำแนะนำวิธีการลงทะเบียนรับสิทธิ และเปิดให้ใช้ Free Wi-Fi ที่สาขา เพื่อช่วยให้ประชาชนสามารถเข้าถึงสิทธิประโยชน์จากโครงการของรัฐบาลได้สะดวกยิ่งขึ้น โดยเฉพาะผู้ที่อาจไม่คุ้นเคยกับเทคโนโลยี โดยมีวัตถุประสงค์เพื่อช่วยให้ประชาชนสามารถนำเงินที่ได้รับจากโครงการไปใช้จ่ายแบ่งเบาภาระค่าครองชีพ และยังเป็นการสนับสนุนนโยบายของภาครัฐในการขับเคลื่อนเศรษฐกิจเพื่อส่งเสริมการใช้จ่ายผ่านดิจิทัลวอลเล็ตอีกด้วย ผู้สนใจติดตามข้อมูลเงินติดล้อเพิ่มเติมได้ที่ www.tidlor.com และ Facebook Fan page เงินติดล้อ หรือติดต่อสอบถามผลิตภัณฑ์และบริการได้ที่ call center หมายเลขโทรศัพท์ 088-088-0880 ตลอด 24 ชม.
เมืองไทยประกันชีวิต ขยายความสุขและรอยยิ้มให้ลูกค้า จับมือ ทรู ดิจิทัล กรุ๊ป ผู้นำบริการดิจิทัลครบวงจร ในเครือทรู คอร์ปอเรชั่น ส่งทีมแพทย์ MorDee (หมอดี) ดูแลสุขภาพลูกค้าประกันกลุ่มถึงบ้าน เพิ่มช่องทางบริการพบแพทย์ออนไลน์ สำหรับลูกค้าประกันกลุ่มที่มีความคุ้มครองค่ารักษาพยาบาลแบบผู้ป่วยนอก (OPD) สามารถปรึกษาแพทย์ผ่านแอปพลิเคชัน “MorDee” (หมอดี) รับสิทธิ์เคลมค่าแพทย์ ค่ายาได้ทันที โดยไม่ต้องสำรองจ่าย พร้อมฟรีค่าบริการส่งยาถึงบ้านทั่วประเทศ สะดวก รวดเร็ว และปลอดภัย ให้บริการโดยทีมแพทย์และผู้เชี่ยวชาญเฉพาะทางจากสถาบันการแพทย์ชั้นนำกว่า 500 คน ครอบคลุมทุกเรื่องสุขภาพกว่า 20 สาขา ดูแลสุขภาพ อย่างต่อเนื่องทุกที่ ทุกเวลา บนทุกสมาร์ทดีไวซ์ ได้แล้ววันนี้ เพียงดาวน์โหลดแอปพลิเคชัน “MorDee” แล้วลงทะเบียนและเชื่อมสิทธิ์ เลือก “เมืองไทยประกันชีวิต” นายสาระ ล่ำซำ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท เมืองไทยประกันชีวิต จำกัด (มหาชน) เปิดเผยว่า เมืองไทยประกันชีวิต ยังคงเดินหน้าส่งมอบความสุขและรอยยิ้มที่ยั่งยืนให้กับลูกค้าอย่างไม่หยุดยั้ง ผ่านการพัฒนาผลิตภัณฑ์ บริการ นวัตกรรม และเครือข่ายพันธมิตรที่ครอบคลุมทุกรูปแบบการใช้ชีวิตอย่างเข้าใจ เพื่อสร้างความอุ่นใจและเติมเต็มชีวิตให้มีสุขภาพและคุณภาพชีวิตที่ดี ภายใต้นโยบาย “Happiness, Your Way เพราะความสุขคือทุกอย่าง…ความสุขสไตล์คุณคือที่สุดของทุกสิ่ง” ในฐานะคู่คิดด้านการวางแผนชีวิตและสุขภาพที่คุณวางใจพร้อมก้าวเคียงคู่ในทุกช่วงจังหวะของชีวิต ล่าสุด เมืองไทยประกันชีวิต ร่วมกับ ทรู ดิจิทัล กรุ๊ป เพิ่มช่องทางบริการพบแพทย์ออนไลน์ (Telemedicine) สำหรับลูกค้าประกันกลุ่มที่มีความคุ้มครองค่ารักษาพยาบาลแบบผู้ป่วยนอก (OPD) สามารถพบแพทย์ได้ทุกที่ ทุกเวลา ผ่านแอปพลิเคชัน “MorDee” (หมอดี) รับสิทธิ์เคลมค่าแพทย์ ค่ายาได้ทันที โดยไม่ต้องสำรองจ่าย ภายใต้วงเงินความคุ้มครองตามที่ระบุในกรมธรรม์ประกันภัย พร้อมฟรีค่าบริการส่งยาถึงบ้านทั่วไทย เพียงดาวน์โหลดแอปพลิเคชัน “MorDee” แล้วลงทะเบียนเพื่อเริ่มต้นใช้งาน จากนั้นทำการเชื่อมสิทธิ์โดยเลือกเมืองไทยประกันชีวิตและกรอกข้อมูลให้ครบถ้วน ยืนยันตัวตน ค้นหาแผนกที่ต้องการพบแพทย์ เลือกแพทย์ที่ต้องการปรึกษา ทำการนัดหมาย เคลมประกันเลือกสิทธิ์เมืองไทยประกันชีวิต จากนั้นพบแพทย์ตามนัดและรอรับยาที่บ้าน รวดเร็ว ปลอดภัย เป็นส่วนตัวได้ในบรรยากาศที่สะดวกสบายในบ้านหรือที่ทำงาน นายณัฐวุฒิ อมรวิวัฒน์…
ทีเอ็มบีธนชาต หรือ ทีทีบี เดินหน้าสนับสนุนให้ลูกค้าธุรกิจมีชีวิตทางการเงินที่ดีขึ้น และเติบโตได้อย่างยั่งยืน ล่าสุดกับความสำเร็จในการส่งมอบองค์ความรู้และแนวคิดด้านการเพิ่มประสิทธิภาพธุรกิจยุคดิจิทัล เพื่อเปลี่ยนผ่านองค์กรสู่ความยั่งยืนในอุตสาหกรรมเฮลท์แคร์ (Healthcare) ผ่านหลักสูตร LEAN for Sustainable Growth by ttb รุ่นที่ 19 หลักสูตร LEAN for Sustainable Growth by ttb รุ่นที่ 19 เป็นหลักสูตรของทีทีบี ที่มุ่งมั่นและสนับสนุนให้ผู้ประกอบการในซัพพลายเชนของเฮลท์แคร์ ที่เข้าร่วมอบรมกว่า 60บริษัท ได้รับองค์ความรู้ที่ครอบคลุมในหัวข้อการลดต้นทุน เพิ่มประสิทธิภาพ พร้อมนำเทรนด์เทคโนโลยีดิจิทัลไปประยุกต์ใช้ในธุรกิจ รวมถึงแนวคิดการดำเนินธุรกิจอย่างยั่งยืน โดยมีทีมอาจารย์ผู้เชี่ยวชาญ และผู้บริหารระดับสูงขององค์กรขนาดใหญ่ในอุตสาหกรรมเฮลท์แคร์ ทั้งจากภาครัฐและเอกชน อาทิ บมจ. กรุงเทพดุสิตเวชการ โรงพยาบาลพระรามเก้า กลุ่มโรงพยาบาลวิภาราม โรงพยาบาลรามคำแหง คณะแพทยศาสตร์ศิริราชพยาบาล บมจ. ที.แมน ฟาร์มาซูติคอล บจก. กรุงเทพดรักสโตร์ และ บจก. สมูท อี เป็นต้น รวมทั้งผู้บริหารจากทีทีบี มาถ่ายทอดองค์ความรู้และประสบการณ์ตรง พร้อมให้คำปรึกษาตลอด 6 วันเต็มของการอบรม พร้อมการเข้าเยี่ยมชมการดำเนินงานของโรงพยาบาลกรุงเทพ สำนักงานใหญ่ ทีทีบี เล็งเห็นว่า อุตสาหกรรมเฮลท์แคร์ (Healthcare) ถือเป็นอุตสาหกรรมที่มีแนวโน้มการเติบโตสูงในอนาคต มีปัจจัยบวกหลายด้านทั้งจากภาคการท่องเที่ยวเชิงสุขภาพ การเพิ่มสูงขึ้นของค่าใช้จ่ายด้านสุขภาพต่อครัวเรือนที่สะท้อนมาจากการเข้าสู่สังคมผู้สูงอายุ การเติบโตของตลาดบริการทางการแพทย์เฉพาะภาคเอกชน รวมไปถึงเทรนด์ธุรกิจด้านความงาม การแพทย์เฉพาะทาง และห้องปฏิบัติการทางการแพทย์ เป็นต้น ธนาคารจึงมองว่าการเพิ่มประสิทธิภาพของธุรกิจในอุตสาหกรรมนี้จึงเป็นเรื่องสำคัญ เพราะจะส่งผลให้ธุรกิจสามารถส่งมอบสินค้าและบริการไปถึงมือผู้บริโภคด้วยต้นทุนที่ต่ำลง ในขณะที่ประสบการณ์ของลูกค้าก็ยิ่งต้องได้รับการพัฒนาให้ดียิ่งขึ้น ผ่านองค์ความรู้ที่ครอบคลุม 3 ด้าน ได้แก่ 1) Effective Cost Saving การลดต้นทุน เพิ่มประสิทธิภาพ และวางรากฐานธุรกิจให้แข็งแรงตามแนวคิด LEAN 2) Unlock and Empower Business Potential การเพิ่มศักยภาพและการเติบโตของธุรกิจผ่านเทคโนโลยีดิจิทัล เพื่อมุ่งสู่ Digital Business ที่เข้าถึงกลุ่มลูกค้าเป้าหมายในปัจจุบัน…
บลจ. พรินซิเพิล ประกาศเพิ่มทุนจดทะเบียนของกองทุนเปิด “พรินซิเพิล เวียดนาม อิควิตี้ (PRINCIPAL VNEQ) อีกเท่าตัว เป็น 20,000 ล้านบาท จากปัจจุบันอยู่ที่ 10,000 ล้านบาท ตอกย้ำความเชื่อมั่นจากนักลงทุนและผลงานโดดเด่น มองตลาดหุ้นเวียดนามครึ่งปีหลังเติบโตต่อเนื่อง ด้วยปัจจัยสนับสนุนการขยายตัวของเศรษฐกิจจากทั้งในและต่างประเทศ การเมืองที่มีเสถียรภาพ และผลประกอบการของบริษัทจดทะเบียนที่ดีขึ้นต่อเนื่อง ชูศักยภาพกองทุนได้รับ Morningstar ระดับ 5 ดาวทำผลตอบแทน 6 เดือนแรกปีนี้ที่ 21.49% นายจุมพล สายมาลา ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัทหลักทรัพย์จัดการกองทุน พรินซิเพิล จำกัด เปิดเผยว่า บลจ. พรินซิเพิล ได้รับการอนุมัติจากสำนักงานคณะกรรมการ ก.ล.ต. ให้เพิ่มทุนจดทะเบียนของกองทุนเปิด “พรินซิเพิล เวียดนาม อิควิตี้” (PRINCIPAL VNEQ) เป็น 20,000 ล้านบาท หรือ 2,000 ล้านหน่วย จากเดิมมีทุนจดทะเบียน 10,000 ล้านบาท หรือ 1,000 ล้านหน่วย เพื่อรองรับความต้องการจากนักลงทุนและตอกย้ำถึงศักยภาพกองทุนที่สามารถทำผลงานที่โดดเด่นและได้รับความเชื่อมั่นจากผู้ที่สนใจการผู้ที่ต้องการลงทุนในตลาดหุ้นเวียดนาม ขณะที่ ผลการดำเนินงานของกองทุนเปิด PRINCIPAL VNEQ ในเดือนมกราคม-มิถุนายน 2567 สร้างผลตอบแทน 21.49% สูงกว่าดัชนีเปรียบเทียบที่ทำได้ 4.46% โดยในปี 2566 ให้ผลตอบแทน 11.94% เป็นอันดับ 1 ในกลุ่มกองทุนหุ้นเวียดนามในประเทศไทย และสูงกว่าดัชนีเปรียบเทียบที่ทำได้ 5.03% (ที่มา: Morningstar ณ วันที่ 30 มิถุนายน 2567) นอกจากนี้กองทุนได้รับการจัดอันดับ Morningstar ระดับ 5 ดาว นายจุมพล กล่าวว่า เวียดนามถือเป็นประเทศที่มีศักยภาพเติบโตสูงและตลาดหุ้นมีความน่าสนใจเข้าลงทุนต่อเนื่องถึงแม้ว่าตลาดหุ้นเวียดนามจะปรับตัวขึ้นมาต่อเนื่อง เนื่องจากพื้นฐานเศรษฐกิจยังแข็งแกร่งโดยมีจุดเด่นที่น่าจับตามอง ได้แก่ 1) เวียดนามเป็นหนึ่งในประเทศที่คาดว่าจะมีการเติบโตทางเศรษฐกิจสูงที่สุดในโลก โดยกองทุนการเงินระหว่างประเทศ (IMF) คาดว่าเวียดนามจะเติบโตเฉลี่ย 6.5% ในอีก 5…
ธุรกิจการเงินและประกันเผชิญกับการแข่งขันที่เข้มข้นและความคาดหวังของลูกค้าที่เพิ่มขึ้นมาอย่างต่อเนื่อง การนำเทคโนโลยีดิจิทัลมาใช้ในบริการทางการเงิน ไม่เพียงช่วยเพิ่มประสิทธิภาพการทำงาน แต่ยังช่วยเสริมสร้างความสัมพันธ์ที่ดีกับลูกค้าได้ แพลตฟอร์ม LINE ได้กลายเป็นเครื่องมือสำคัญของธุรกิจกลุ่มนี้ในการสื่อสาร ทำการตลาด ไม่เพียงเพราะความสามารถในการเข้าถึงคนไทยจำนวนมาก แต่ยังมีโซลูชันหลากหลาย ตอบโจทย์ความต้องการของลูกค้าคนไทย พร้อมข้อมูลอินไซด์มากมาย เพื่อให้ภาคธุรกิจได้นำมาประยุกต์ใช้ในการขับเคลื่อนการเติบโต ล่าสุด LINE ประเทศไทย ได้จัดงาน Insight Sharing อัปเดตเทรนด์สำคัญในการใช้เทคโนโลยี LINE สำหรับธุรกิจการเงินและประกันโดยเฉพาะ โดยมีผู้เชี่ยวชาญจาก LINE ประเทศไทย นำโดย คุณพันพิศุทธิ์ เอี๊ยเจริญ (ในรูป-กลาง) หัวหน้าทีมที่ปรึกษาธุรกิจการเงินและประกัน LINE ประเทศไทย พร้อมด้วย คุณราชัน รัชนิวรากรกุล (ในรูป-ซ้าย) และคุณภาคิณ ฤทธิ์คำรพ (ในรูป-ขวา) ที่ปรึกษาธุรกิจการเงินและประกัน LINE ประเทศไทย มาร่วมให้ข้อมูล ในช่วงหลายปีที่ผ่านมา เทรนด์การใช้ LINE ของกลุ่มธุรกิจการเงินและประกันในไทยพัฒนาไปอย่างมาก จากในระยะเริ่มต้น ที่เน้นใช้งานเครื่องมือหลักอย่างLINE OA เพื่อสื่อสารทางเดียวในรูปแบบการบรอดแคสต์หาลูกค้าจำนวนมาก ด้วยคอนเทนต์เดียวกัน สู่ยุคแห่งการสร้างสรรค์การสื่อสารแบบ Personalized เฉพาะกลุ่ม เฉพาะบุคคลมากขึ้น ด้วยอัตราการเติบโตของจำนวนข้อความรูปแบบดังกล่าว ในช่วงปี 2022-2023 เกิน 130% และการสื่อสารแบบสองทางผ่านแชตบอท ด้วยอัตราการเติบโตของแชตบอทเกิน 82% ชี้ให้เห็นว่า LINE กลายเป็นศูนย์กลางการสื่อสาร การให้บริการลูกค้าแต่ละบุคคลได้อย่างครบครัน โดยสรุปเป็นภาพรวมความเคลื่อนไหวการใช้งานเครื่องมือดิจิทัลบน LINE สำหรับธุรกิจการเงินและประกันได้เป็น 4 เทรนด์ใหญ่ ดังนี้ เชื่อมต่อ LINE OA ด้วย API เพื่อสื่อสาร ให้บริการแบบ Personalized หลากหลายแบรนด์มีการเชื่อมต่อ LINE OA กับระบบต่างๆ ที่ตนเองมีอยู่ผ่าน LINE API นอกจากเพื่อเสริมสร้าง ต่อยอดประสบการณ์การใช้งานของลูกค้าใน LINE OA ให้ครบครัน ครอบคลุมและหลากหลายแล้ว ยังช่วยให้แบรนด์ได้รับข้อมูลส่วนตัวจากลูกค้าโดยตรง ด้วยเงื่อนไขที่ลูกค้าจำเป็นต้องผูกบัญชีและ Verify…
บมจ.ไทยสมุทรประกันชีวิต รักคือพลังของชีวิต โดยคุณนุสรา (อัสสกุล) บัญญัติปิยพจน์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหารและกรรมการผู้จัดการ (CEO) ได้ร่วมเปิดคอนเสิร์ต “75 ปี OCEAN LIFE ไทยสมุทร Presents NONT TOUR EP 0.2 เล็กๆ แต่ลึก” ในฐานะ Title Sponsor ที่จัดเต็มด้วยการออนทัวร์ 4 ภาคทั่วไทยของศิลปิน “นนท์ ธนนท์” ซึ่งถือเป็นส่วนหนึ่งของการฉลองครบรอบการดำเนินธุรกิจเพื่อลูกค้าด้วยความรักสู่ปีที่ 75 ด้วยการสร้างประสบการณ์แห่งความสุข ความสนุก และความประทับใจ โดยได้เปิดคอนเสิร์ตครั้งแรกที่ภาคเหนือ จังหวัดเชียงใหม่ เมื่อ 3 สิงหาคม ที่ผ่านมา ซึ่งภายในงานดังกล่าว OCEAN LIFE ไทยสมุทร ได้ร่วมจัดบูทกิจกรรมสร้างสีสัน ด้วยการถ่ายภาพที่ระลึก พร้อมของที่ระลึก รวมทั้งได้มอบบัตรชมคอนเสิร์ตให้กับลูกค้าที่ร่วมกิจกรรมตามเงื่อนไข ไม่ว่าจะเป็นการทำประกันสุขภาพคุ้มครองระดับพรีเมียม หรือ การร่วมสนุก ผ่าน OCEAN CLUB APPLICATION สำหรับคอนเสิร์ต “75 ปี OCEAN LIFE ไทยสมุทร Presents NONT TOUR EP 0.2 เล็กๆ แต่ลึก” ยังมีต่ออีก 3 ภาคคือ ภาคตะวันออก ในวันเสาร์ที่ 10 สิงหาคม 2567 ที่เซ็นทรัลศรีราชา จังหวัดชลบุรี ภาคตะวันออกเฉียงเหนือ ในวันเสาร์ที่ 17 สิงหาคม 2567 ที่เซ็นทรัลขอนแก่น จังหวัดขอนแก่น และปิดท้ายที่ภาคใต้ ในวันเสาร์ที่ 24 สิงหาคม 2567 ที่เซ็นทรัลหาดใหญ่ จังหวัดสงขลา และสามารถพบกิจกรรมความรักและความสุขกับบูท OCEAN LIFE ไทยสมุทร ได้ทุกภาคเหมือนเดิม สนใจเป็นลูกค้า OCEAN LIFE ไทยสมุทร…
ตลาดที่อยู่อาศัยราคาไม่เกิน 3 ล้านบาทในกรุงเทพฯ และปริมณฑลกำลังเผชิญกับความท้าทายรอบด้าน ทั้งในด้าน อุปสงค์ที่ยังถูกกดดันจากปัจจัยทางเศรษฐกิจ จนทำให้ Rejection rate อยู่ในระดับสูง รวมถึงด้านอุปทานที่ผู้ประกอบการพยายามรักษาอัตรากำไร ท่ามกลางภาวะต้นทุนการพัฒนาโครงการที่ปรับตัวเพิ่มขึ้นต่อเนื่อง และแรงกดดันด้านหน่วยเหลือขายสะสม หน่วยโอนกรรมสิทธิ์ที่อยู่อาศัยราคาไม่เกิน 3 ล้านบาทใน BMR มีสัดส่วนเฉลี่ยราว 2 ใน 3 ของหน่วยโอนใน BMR ทั้งหมด ส่วนในด้านมูลค่าโอนกรรมสิทธิ์มีสัดส่วนเฉลี่ยราว 1 ใน 3 ของมูลค่าโอนใน BMR ทั้งหมด โดยทั้งหน่วยโอนกรรมสิทธิ์และมูลค่าโอนกรรมสิทธิ์ของตลาดที่อยู่อาศัยราคาไม่เกิน 3 ล้านบาทใน BMR ในปัจจุบัน กว่า 85% มาจากการโอนกรรมสิทธิ์ในประเภทคอนโดมิเนียม และทาวน์เฮาส์ ตลาดที่อยู่อาศัยราคาไม่เกิน 3 ล้านบาทใน BMR ซึ่งส่วนใหญ่เป็น Real demand ยังมีแนวโน้มชะลอตัว จากปัจจัยทางเศรษฐกิจ เช่น ภาระค่าใช้จ่าย ภาระหนี้ครัวเรือน ซึ่งยังคงกดดันกำลังซื้อ โดยเฉพาะในกลุ่มผู้มีรายได้ระดับปานกลาง-ล่าง ที่เป็นกำลังซื้อหลักของตลาดให้มีแนวโน้มชะลอตัว และคาดว่าจะชะลอตัวต่อเนื่องในช่วง 1-2 ปีข้างหน้าเป็นอย่างน้อย นอกจากนั้น ปัจจัยด้านอัตราดอกเบี้ย และข้อจำกัดในการเข้าถึงสินเชื่อ ยังทำให้อัตราการถูกปฏิเสธสินเชื่อ (Rejection rate) มีแนวโน้มอยู่ในระดับสูงอย่างต่อเนื่องเช่นเดียวกัน ขณะที่ความต้องการซื้อเพื่อการลงทุนปล่อยเช่าก็ยังคงถูกกดดันจากมาตรการ LTV การโอนที่อยู่อาศัยราคาไม่เกิน 3 ล้านบาท ในกลุ่มมือสองมีแนวโน้มเพิ่มขึ้น จากราคาที่อยู่อาศัยมือหนึ่งที่ปรับตัวเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง ตามต้นทุนการพัฒนาโครงการ ประกอบกับตัวเลือกที่อยู่อาศัยราคาต่ำกว่า 3 ล้านบาทในระยะต่อไป ที่มีแนวโน้มอยู่ไกลเมืองออกไปมากขึ้น ขนาดเล็กลง หรือ Spec ลดลง จากต้นทุนราคาที่ดินที่สูงขึ้น ซึ่งเป็นอีกหนึ่งความท้าทายที่สำคัญในการดึงดูดความต้องการซื้อ โดยเฉพาะในกลุ่มมือหนึ่ง ในขณะที่ผู้ซื้อในปัจจุบันเริ่มหันมาให้ความสำคัญกับปัจจัยด้านทำเลที่สามารถเดินทางเข้าเมืองได้สะดวก หรืออยู่ใกล้เมืองมากขึ้น การรักษาอัตรากำไรจากการพัฒนาที่อยู่อาศัยราคาต่ำที่ทำได้ยากขึ้น เป็นความท้าทายของผู้ประกอบการ โดยต้นทุนการพัฒนาโครงการที่ปรับตัวเพิ่มขึ้นต่อเนื่อง โดยเฉพาะราคาที่ดิน ผนวกกับผังเมืองใหม่จะยิ่งทำให้ราคาที่ดินในเมืองเร่งตัวมากขึ้น โดยหากหันไปลดต้นทุนด้วยการลดขนาดพื้นที่ใช้สอย ก็มีความเสี่ยงที่จะขายได้ยาก นอกจากนั้น ยังต้องติดตามสถานการณ์หน่วยเหลือขายสะสมของคอนโดและทาวน์เฮาส์ ราคาไม่เกิน 3 ล้านบาทใน BMR…