Author: staff

กรุงเทพประกันชีวิต จัดงานวันใส่ใจ กับ BLA  กรุงเทพประกันชีวิต โดย นายโชน โสภณพนิช กรรมการผู้จัดการใหญ่และประธานเจ้าที่บริหาร บริษัท กรุงเทพประกันชีวิต จำกัด (มหาชน) นำคณะผู้บริหารระดับสูง จัดงานวันใส่ใจ กับ BLA ประกาศวิสัยทัศน์ใหม่ To be the Most Caring Life Insurance Company มุ่งเป็นบริษัทประกันชีวิตอันดับหนึ่งในด้านความใส่ใจ และขับเคลื่อนองค์กรทำหน้าที่ด้วยความใส่ใจ ต่อผู้เกี่ยวข้องทุกกลุ่ม พร้อมเปิดตัวแบรนด์แคมเปญ “ใส่ใจ” ถ่ายทอดผ่านภาพยนตร์โฆษณา 2 เรื่อง เพื่อช่วยสร้างแรงกระเพื่อมให้สังคมได้ตระหนักคิด และเลือกสร้างความสุขให้ตนเองและคนรอบตัว โดยเห็นคุณค่าของการใส่ใจซึ่งกันและกัน โดยภายในงานยังมี ผู้บริหารตัวแทนระดับสูง และพันธมิตร เข้าร่วมงาน ณ ลานแฟชั่นฮอลล์ ชั้น 1 สยามพารากอน เมื่อเร็ว ๆ นี้  

Read More

บริษัท บริหารสินทรัพย์สุขุมวิท จำกัด (บสส.) หรือ SAM โดยนายสุรไท รัชตะนาวิน รองกรรมการผู้จัดการ สายงานการเงิน ปฏิบัติการและเทคโนโลยี มอบเครื่องคอมพิวเตอร์  โน้ตบุ๊กและอุปกรณ์เครื่องใช้สำนักงาน จำนวนมากกว่า 550 รายการ ให้แก่หน่วยงานต่างๆ เพื่อใช้ประโยชน์ในด้านการศึกษา ได้แก่  มูลนิธิพระดาบส ซึ่งเป็นองค์กรการกุศลสาธารณะที่จัดตั้งขึ้นตามพระราชดำริพระบาทสมเด็จพระบรมชนกาธิเบศร มหาภูมิพลอดุลยเดชมหาราช บรมนาถบพิตร เพื่อใช้เป็นสื่อการเรียนการสอนแก่นักเรียนโรงเรียนพระดาบสที่มาจากจังหวัดต่างๆ ทั่วประเทศ รวมไปถึงเด็กนักเรียนในเขตจังหวัดชายแดนภาคใต้ให้ได้รับโอกาสศึกษาจนสามารถประกอบอาชีพได้ โดยมี นาวาอากาศเอก ปภัณศัก สายแจ้ง รองหัวหน้าสำนักงานมูลนิธิฯ เป็นผู้แทนรับมอบ และ โรงเรียนบ้านสาโรช อ.ท่าตูม จ.สุรินทร์ ซึ่งขาดแคลนคอมพิวเตอร์ใช้ในการเรียนการสอนและพัฒนาทักษะนักเรียนที่ด้อยโอกาส โดยมี นายคำแหง วงศ์ฉลาด ผู้อำนวยการโรงเรียนบ้านสาโรช  เป็นผู้แทนรับมอบ ณ สำนักงานใหญ่ SAM อาคารซันทาวเวอร์ส เกี่ยวกับ SAM : บริษัท บริหารสินทรัพย์สุขุมวิท จำกัด (บสส.) หรือ SAM เป็นบริษัทบริหารสินทรัพย์ของรัฐภายใต้กำกับของธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) มีบทบาทในการบริหารจัดการสินทรัพย์ด้อยคุณภาพโดยยึดหลักธรรมาภิบาล เพื่อขับเคลื่อนระบบสถาบันการเงินให้เติบโตอย่างมั่งคั่งและยั่งยืน นับตั้งแต่ปี 2560 เป็นต้นมา บสส. มีบทบาทสำคัญในการช่วยแก้ไขปัญหาหนี้ภาคครัวเรือน ผ่านการดำเนินโครงการ “คลินิกแก้หนี้ by SAM”  ซึ่งธนาคารแห่งประเทศไทยเป็นผู้ริเริ่ม เพื่อช่วยเหลือลูกหนี้ที่มีหนี้สินที่ไม่มีหลักประกันกับเจ้าหนี้หลายรายให้ได้ข้อยุติ ควบคู่ไปกับการให้ความรู้ทางการเงินและการบริหารจัดการหนี้สินแก่ลูกหนี้ด้วย วิสัยทัศน์ :  เป็นบริษัทบริหารสินทรัพย์แห่งรัฐ ที่มีบทบาทสนับสนุนให้ประชาชนและภาคธุรกิจฟื้นตัวอย่างยั่งยืน

Read More

ธนาคารกรุงเทพ จำกัด (มหาชน) (BBL) ได้รับคัดเลือกให้เป็นหนึ่งในบริษัทกลุ่มหลักทรัพย์ ESG100   ที่มีผลการดำเนินงานโดดเด่นด้านสิ่งแวดล้อม สังคม และธรรมาภิบาล (Environmental, Social and Governance: ESG) จากการประเมินหลักทรัพย์จดทะเบียน ในปี พ.ศ.2567 โดยสถาบันไทยพัฒน์     ตอกย้ำถึงการเป็น ‘เพื่อนคู่คิด มิตรคู่บ้าน’ มุ่งดำเนินธุรกิจด้วยความเข้มแข็ง พร้อมสนับสนุนลูกค้า ชุมชนและสังคมเติบโตไปด้วยกันอย่างยั่งยืน นายกอบศักดิ์ ภูตระกูล กรรมการรองผู้จัดการใหญ่ และเลขานุการบริษัท ธนาคารกรุงเทพ จำกัด (มหาชน) เปิดเผยว่า สถาบันไทยพัฒน์ประกาศให้ ธนาคารกรุงเทพ ติดอันดับ ESG100 ประจำปี 2567 ด้วยการคัดเลือกจาก 920 หลักทรัพย์จดทะเบียน ให้เป็นบริษัทที่มีการดำเนินงานโดดเด่นด้านสิ่งแวดล้อม สังคม และธรรมาภิบาล (ESG) ซึ่งต้องผ่านการพิจารณาอย่างเข้มข้นทั้งหลักเกณฑ์ในการดำเนินงานด้าน ESG ควบคู่ไปกับผลประกอบการของธนาคาร “การได้รับคัดเลือกเป็นหนึ่งในกลุ่มหลักทรัพย์ ESG100 ประจำปี 2567 นับเป็นอีกหนึ่งความสำเร็จที่ น่าภาคภูมิใจของธนาคารกรุงเทพซึ่งมุ่งมั่นที่จะเป็นส่วนหนึ่งของการพัฒนาอย่างยั่งยืน ทั้งมิติสิ่งแวดล้อม สังคม และธรรมาภิบาล โดยส่งผ่านจากนโยบายมาสู่การดำเนินงานทางธุรกิจอย่างต่อเนื่อง และในปีนี้ธนาคารได้เปิดตัว “สินเชื่อบัวหลวงกรีนเพื่อการเปลี่ยนผ่านสู่ความยั่งยืนด้านสิ่งแวดล้อม” ซึ่งสอดคล้องกับเจตนารมณ์ของธนาคารแห่งประเทศไทยที่ต้องการผลักดันให้ธุรกิจปรับตัวสู่ธุรกิจสีเขียว ธนาคารกรุงเทพมั่นใจว่าจะสามารถเป็น ‘เพื่อนคู่คิด มิตรคู่บ้าน’ ที่สนับสนุนลูกค้าให้เปลี่ยนผ่านไปสู่ธุรกิจสีเขียวที่สามารถปรับตัวได้ดีและพร้อมแข่งขันท่ามกลางความท้าทายในอนาคต” นายกอบศักดิ์ กล่าว สำหรับธนาคารกรุงเทพ ในฐานะ ‘ธนาคารชั้นนำระดับภูมิภาค’ ที่ดำเนินธุรกิจโดยให้ความสำคัญกับ ความยั่งยืน ภายใต้แนวคิด ‘Creating Value for a Sustainable Future – สรรค์สร้างคุณค่าเพื่ออนาคตที่ยั่งยืน’   โดยสนับสนุนให้เกิดความยั่งยืนในกระบวนการธุรกิจทั้ง 5 มิติ ประกอบด้วย • Be Responsible – การดำเนินธุรกิจอย่างมีความรับผิดชอบ โดยสนับสนุนการลงทุนในโครงการ ที่คำนึงถึงความยั่งยืนของสังคมและสิ่งแวดล้อม พร้อมกับส่งเสริมการให้ความรู้ทางการเงินและ การเข้าถึงบริการอย่างทั่วถึง เพื่อเสริมสร้างความเข้มแข็งของชุมชนและสังคม • Be Resilient – การรับมือกับภาวะวิกฤต…

Read More

กรุงเทพฯ, 18 พฤศจิกายน 2567 – ธนาคารไทยเครดิต จำกัด (มหาชน) จัดงานเลี้ยงสุดเอ็กซ์คลูซีฟ ‘Sparkle Night Exclusive Dinner’ เพื่อแสดงความขอบคุณลูกค้าสินเชื่อ SME ที่ให้การสนับสนุนธนาคารฯ ด้วยดีเสมอมา โดยภายในงานมีการบรรยายพิเศษในหัวข้อ ‘Family Wealth’ มอบแนวทางสร้างความมั่นคงและการเติบโตของธุรกิจ SME บนพื้นฐานของความยั่งยืน โดย ศาสตราจารย์พิเศษ กิติพงศ์ อุรพีพัฒนพงศ์ ประธานกรรมการ ธนาคารไทยเครดิต จัดขึ้น ณ ห้องลุมพินี โรงแรมดุสิตธานี กรุงเทพ เมื่อวันที่ 16 พฤศจิกายน 2567 ที่ผ่านมา ศาสตราจารย์พิเศษ กิติพงศ์ อุรพีพัฒนพงศ์ กล่าวว่า “ในฐานะตัวแทนของธนาคารไทยเครดิต ผมขอขอบคุณลูกค้าทุกท่านที่ให้การตอบรับและสนับสนุนผลิตภัณฑ์และบริการสินเชื่อ SME ของธนาคารไทยเครดิตด้วยดีเสมอมา งานวันนี้สะท้อนให้เห็นถึงความมุ่งมั่นในการทำตามพันธกิจของธนาคารฯ ในการเป็นพันธมิตรที่ช่วยเสริมสร้างความแข็งแกร่งให้กับธุรกิจ SME ไทยในทุกช่วงเวลา ตามปรัชญาของธนาคารฯ ที่ว่า Everyone Matters ทุกคนคือคนสำคัญ” นายวิญญู ไชยวรรณ รองประธานกรรมการ และประธานคณะเจ้าหน้าที่บริหาร ธนาคารไทยเครดิต กล่าวเสริมว่า “งานในวันนี้สะท้อนถึงความตั้งใจของธนาคารฯ ในการสร้างความร่วมมือและส่งเสริมธุรกิจ SME ให้เติบโตอย่างมั่นคง ผ่านการผลักดันเครือข่ายผู้ประกอบการ SME ที่มีความเข้มแข็ง สอดคล้องกับจุดยืนของธนาคารฯ ‘STANDBY เคียงข้าง SME’ ในอนาคตธนาคารฯ จะยังคงพัฒนาผลิตภัณฑ์และบริการในกลุ่มสินเชื่อ SME อย่างเต็มที่ เพื่อตอบสนองความต้องการของลูกค้าอย่างเต็มกำลังต่อไป” สำหรับงาน Sparkle Night Exclusive Dinner เป็นงานเลี้ยงเพื่อขอบคุณลูกค้าสินเชื่อ SME ของธนาคารไทยเครดิต โดยลูกค้าทุกท่านที่เข้าร่วมงานจะได้สัมผัสกับบรรยากาศยามค่ำคืนอันงดงามของกรุงเทพมหานคร ร่วมรับประทานอาหารมื้อค่ำสไตล์ตะวันตกที่รังสรรค์โดยทีมเชฟมืออาชีพจากโรงแรมดุสิตธานี กรุงเทพ เสริมความเพลิดเพลินตลอดค่ำคืนกับบทเพลงคลาสสิกจากวง FIVERA ศิลปิน Pop Opera วงแรกของไทย และวงเครื่องสาย Headache Horse

Read More

นายวิทัย รัตนากร ผู้อำนวยการธนาคารออมสิน เปิดเผยว่า ตามมติคณะรัฐมนตรี เมื่อวันที่ 12 พฤศจิกายน 2567 เห็นชอบให้ธนาคารจัดทำโครงการสินเชื่อสร้างงานสร้างอาชีพ วงเงินรวม 15,000 ล้านบาท เพื่อเสริมสภาพคล่องของผู้ประกอบการรายย่อยในการลงทุนเพื่อประกอบอาชีพ รวมถึงเป็นการสนับสนุนนโยบายรัฐบาลในการกระตุ้นเศรษฐกิจและบรรเทาปัญหาหนี้นอกระบบ ซึ่งคาดว่าจะสามารถช่วยเหลือประชาชนกว่า 300,000 ราย ให้เข้าถึงสินเชื่อดอกเบี้ยต่ำที่ให้บริการโดยสถาบันการเงินในระบบ เพื่อนำไปใช้เป็นเงินทุนหมุนเวียนเสริมสภาพคล่องในการประกอบอาชีพ หรือใช้ชำระหนี้นอกระบบ หรือชำระหนี้ที่คิดดอกเบี้ยสูงกว่า วงเงินให้กู้สูงสุดไม่เกิน 50,000 บาทต่อราย อัตราดอกเบี้ยคงที่ 0.75% ต่อเดือน ผ่อนชำระสูงสุดไม่เกิน 5 ปี ไม่ต้องมีหลักประกัน ภายใต้เงื่อนไขที่ผ่อนปรนกว่าสินเชื่อปกติของธนาคาร โดยเปิดให้ผู้สนใจลงทะเบียนจองสิทธิ์ยื่นขอกู้ได้ที่แอปพลิเคชัน MyMo ตั้งแต่วันที่ 22 พฤศจิกายน 2567 เป็นต้นไป สินเชื่อสร้างงานสร้างอาชีพ สำหรับผู้ประกอบการรายย่อย ผู้ประกอบอาชีพอิสระ ผู้มีรายได้ประจำ รวมถึงลูกจ้าง พ่อค้า แม่ค้า ผู้รับจ้างให้บริการต่าง ๆ ซึ่งเป็นผู้มีรายได้ที่มีสัญชาติไทย อายุครบ 20 ปีบริบูรณ์ขึ้นไป มีถิ่นที่อยู่แน่นอน ระยะเวลาดำเนินโครงการภายในวันที่ 30 ธันวาคม 2568หรือจนกว่าจะครบวงเงินโครงการ ผู้สนใจสามารถเข้าแอป MyMo เพื่อลงทะเบียนจองสิทธิ์ได้ตั้งแต่วันที่ 22 พฤศจิกายน 2567 ซึ่งธนาคารจะแจ้งกำหนดวันนัดหมายยื่นกู้ให้ลูกค้าทราบในวันถัดไปหลังจากที่ลงทะเบียนสำเร็จ ทั้งนี้ กระบวนการขอสินเชื่อตั้งแต่เริ่มลงทะเบียนจนถึงแจ้งผลการพิจารณาอนุมัติจะดำเนินการทางแอปพลิเคชัน MyMo ใช้เวลารอผลการพิจารณาเพียง 3 – 5 วัน สำหรับผู้ที่ยังไม่มีแอป MyMo สามารถดาวน์โหลดได้ทั้งระบบ IOS และ Android และเปิดใช้บริการได้ด้วยตนเอง หรือติดต่อที่สาขาธนาคารออมสินทั่วประเทศ พร้อมแสดงบัตรประจำตัวประชาชนเพื่อสมัครใช้บริการ ศึกษารายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ www.gsb.or.th หรือที่ GSB Contact Center โทร.1115 อนึ่ง โครงการสินเชื่อสร้างงานสร้างอาชีพ เป็นอีกหนึ่งภารกิจที่ธนาคารออมสินมุ่งมั่นเดินหน้าการขยายผลสร้าง Social Impact ในวงกว้างมากขึ้นด้วยศักยภาพและทรัพยากรของธนาคาร ตั้งเป้าช่วยเหลือคนไทยฐานรากให้เข้าถึงแหล่งเงินในระบบด้วยต้นทุนที่เป็นธรรม และส่งเสริมการมีวินัยทางการเงินโดยให้กู้เท่าที่จำเป็นและตามความสามารถในการชำระหนี้

Read More

สมาคมประกันวินาศภัยไทย สมาคมประกันวินาศภัยไทย จัดพิธีทำบุญทางศาสนาเนื่องในโอกาสครบรอบ 57 ปี การก่อตั้งสมาคมฯ โดยมีคณะกรรมการบริหาร ผู้บริหารจากบริษัทสมาชิก และพนักงานสมาคมฯ ร่วมในพิธี ณ อาคารสมาคมประกันวินาศภัยไทย ซอยสุขุมวิท 64/1 ทั้งนี้ สมาคมประกันวินาศภัยไทย ก่อตั้งขึ้นเมื่อวันที่ 16 พฤศจิกายน 2510 โดยมีบทบาทหน้าที่ในการส่งเสริมและสนับสนุนให้ธุรกิจประกันวินาศภัย เป็นเสาหลักของระบบเศรษฐกิจและสังคมของประเทศอย่างยั่งยืน โดยดำเนินงานภายใต้พันธกิจที่สำคัญ 4 ด้าน ได้แก่ 1. ส่งเสริมให้ธุรกิจประกันภัยมีภาพลักษณ์ที่ดีเป็นที่ยอมรับในระดับสากล มีความรับผิดชอบต่อสังคมและสิ่งแวดล้อม 2. ยกระดับความเชื่อมั่นและความไว้วางใจในการทำหน้าที่เป็นผู้บริหารความเสี่ยงมืออาชีพให้กับภาครัฐและเอกชน 3. พัฒนาศักยภาพบุคลากรในธุรกิจประกันภัยให้เป็นมืออาชีพที่ยึดมั่นในหลักธรรมาภิบาล และ 4. เสริมสร้างระบบนิเวศประกันภัยที่เอื้อต่อการดำเนินธุรกิจให้เติบโตอย่างมั่นคงและมีเสถียรภาพ นอกจากนี้ สมาคมฯ ยังมีบทบาทสำคัญในการส่งเสริมความรู้ความเข้าใจเกี่ยวกับการประกันวินาศภัย ทั้งในด้านวิชาการและด้านกิจกรรมที่เป็นประโยชน์ต่อธุรกิจประกันภัยและสังคม รวมถึงการประสานความร่วมมือกับหน่วยงานราชการต่างๆ ภายใต้การบริหารของคณะกรรมการบริหารสมาคมฯ 21 คน โดยได้รับความร่วมมือ ร่วมใจจากบริษัทสมาชิกในการขับเคลื่อนธุรกิจประกันวินาศภัยไทย และสร้างความเป็นปึกแผ่นและมั่นคงให้กับสมาคมฯ มาอย่างต่อเนื่อง ปัจจุบันสมาคมฯ มีสมาชิกซึ่งเป็นบริษัทที่ได้รับอนุญาตให้ประกอบกิจการประกันวินาศภัย รวมทั้งสิ้น 48 บริษัท

Read More

อุตสาหกรรมยานยนต์ยังคงเผชิญความท้าทายจากอุปสงค์ในประเทศที่เปราะบาง ส่งผลให้ตลาดรถยนต์และจักรยานยนต์มีแนวโน้มฟื้นตัวได้ช้า ขณะที่กลุ่มยานยนต์เชิงพาณิชย์คาดว่าจะทยอยกลับมาคึกคัก โดยได้รับอานิสงส์จากการค้าชายแดนและผ่านแดน รวมถึงภาคการท่องเที่ยวที่ทยอยฟื้นตัวต่อเนื่อง ยอดขายรถยนต์ในประเทศปี 2568 คาดว่าจะทรงตัวในระดับต่ำที่ 5.5 แสนคัน ขณะที่ในระยะปานกลาง มีแนวโน้มฟื้นตัวได้ช้าและยังไม่สามารถกลับสู่ช่วง Pre-Covid ได้ในภายในปี 2571 เนื่องจากเผชิญกับผลพวงต่อเนื่องจากปัจจัยทางเศรษฐกิจและการเปลี่ยนแปลงเชิงพฤติกรรมของผู้บริโภค ซึ่งประกอบด้วย 1) สถาบันการเงินเข้มงวดการปล่อยสินเชื่อเช่าซื้อ 2) กำลังซื้อในภาพรวมค่อนข้างเปราะบาง 3) พฤติกรรมการใช้รถของคนไทยยาวนานขึ้น และ 4) การแข่งขันด้านราคาที่ทวีความรุนแรง ส่งผลให้ผู้บริโภคบางส่วนชะลอการตัดสินใจซื้อรถออกไป นอกจากนี้ เรายังคงต้องติดตามVicious cycle ในตลาดยานยนต์ไทย อันเกิดจากการที่สถาบันการเงินมีแนวโน้มตรึงความเข้มงวดในการปล่อยสินเชื่อเช่าซื้อ เนื่องจากมีความกังวลต่อทิศทางราคารถยนต์มือ 2 ที่คาดว่าจะปรับลดลงอีก เพราะปัญหาอุปทานส่วนเกินจากกลุ่มรถยึด ทั้งนี้ปัญหาดังกล่าวจะกดดันยอดขายรถยนต์ใหม่ให้ซบเซาต่อเนื่อง และทำให้เหล่าตัวแทนจำหน่ายต้องหันมาเน้นแข่งขันกันด้วยราคา ซึ่งจะยิ่งซ้ำเติมมูลค่าของหลักประกันหมวดยานยนต์ให้เสื่อมค่าลงอย่างต่อเนื่อง อุตสาหกรรมยานยนต์เชิงพาณิชย์ปี 2568 มีแนวโน้มกลับมาขยายตัวได้ตามกิจกรรมทางเศรษฐกิจในประเทศและภาคส่งออกฟื้นตัวดีขึ้น โดยตลาดรถบรรทุกได้รับแรงหนุนจากกิจกรรมขนส่งตามแนวชายแดนและการค้าผ่านแดนเติบโตได้ต่อเนื่อง ขณะที่ตลาดรถโดยสารได้รับอานิสงส์จากภาคท่องเที่ยวที่กลับมาคึกคัก และมีส่วนช่วยให้ปัญหาOvercapacity ในกลุ่มรถบัสนำเที่ยวบรรเทาลง ทั้งนี้ในระยะปานกลาง จำเป็นต้องจับตาทิศทางการนำเข้ายานยนต์เชิงพาณิชย์ที่ปรับเพิ่มขึ้นอย่างก้าวกระโดด โดยเฉพาะจากกลุ่มยานยนต์ไฟฟ้าจากประเทศจีน ซึ่งแม้จะตอบโจทย์ด้านสิ่งแวดล้อม แต่ก็นำมาซึ่งความเสี่ยงต่อผู้ผลิตยานยนต์และชิ้นส่วนในประเทศให้สูญเสียความสามารถทางการแข่งขัน ตลาดรถจักรยานยนต์ในประเทศปี 2568 มีแนวโน้มซบเซาต่อเนื่อง ขณะที่ในระยะปานกลางจะทยอยฟื้นตัวอย่างค่อยเป็นค่อยไป เนื่องจากอุปสงค์ยังคงเผชิญแรงกดดันจากกำลังซื้อกลุ่มฐานรากที่เปราะบาง ทั้งจากปัญหาหนี้ครัวเรือนที่อยู่ในระดับสูง รายได้ภาคเกษตรผันผวน รวมถึงความเข้มงวดในการปล่อยสินเชื่อของสถาบันการเงิน อย่างไรก็ดี ต้องติดตามความคืบหน้าของมาตรการปรับขึ้นค่าแรงขั้นต่ำซึ่งจะมีส่วนช่วยเพิ่มกำลังซื้อและหนุนให้ความต้องการซื้อรถจักรยานยนต์จากกลุ่มแรงงานนอกภาคเกษตรฟื้นตัวได้เข้มแข็งมากขึ้น ทั้งนี้สำหรับภาคการส่งออกรถจักรยานยนต์ในปี 2568คาดว่าจะสามารถกลับมาขยายตัวได้ เพราะอุปสงค์จากคู่ค้าสำคัญทยอยปรับเพิ่มขึ้นต่อเนื่อง ทั้งในญี่ปุ่น ยุโรป และจีน ตลาดรถยนต์นั่งไฟฟ้า (Hybrid และ BEV) ได้รับความนิยมเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง โดยคาดว่าในปี 2568 ยอดขายรถกลุ่มนี้จะอยู่ที่ราว 2.1 แสนคัน หรือคิดเป็น 30% ของยอดขายรถยนต์ในประเทศทั้งหมด โดยตลาดรถไฮบริดนับเป็นแรงส่งสำคัญเพราะผู้บริโภคมีการเปิดรับรถกลุ่มนี้มากขึ้น ทั้งในรถระดับกลาง (ราคา 5 แสน – 1 ล้านบาท) รวมถึงตลาดรถหรู ขณะที่ยอดขายรถ BEV มีแนวโน้มขยายตัวอย่างค่อยเป็นค่อยไป และคาดว่าส่วนแบ่งตลาดในระยะปานกลางจะทรงตัวอยู่ที่ 10% ของยอดขายรถยนต์ในประเทศ ทั้งนี้ปัจจัยฉุดรั้งการเปิดรับรถ BEV จากฝั่งผู้บริโภคเกิดจากความกังวลใน 4 ประเด็นสำคัญ…

Read More

กรุงเทพฯ, 15 พฤศจิกายน 2567 — ทีเอ็มบีธนชาต หรือ ทีทีบี ตอกย้ำความมุ่งมั่นผลักดันดิจิทัลทรานส์ฟอร์เมชัน เพื่อ ขับเคลื่อนองค์กร สร้างการเปลี่ยนแปลงให้กับวงการธนาคารไทย พร้อมเดินหน้าสร้าง Data-driven Culture ปักธงก้าวสู่ธนาคารที่โดดเด่นในเรื่องการใช้ข้อมูล (Data) และปัญญาประดิษฐ์ (AI) ในการดำเนินธุรกิจ โดยจับมือพันธมิตร databricks ผู้นำด้าน Data Intelligence Platform ระดับโลก ช่วยเพิ่มประสิทธิภาพในการให้บริการและสร้างสรรค์โซลูชันทางการเงิน ตอบโจทย์ความต้องการลูกค้าในระดับเฉพาะบุคคล (Segment of One) พร้อมยกระดับความปลอดภัยและการป้องกันทางการเงินจากบัญชีม้า มุ่งสร้างชีวิตทางการเงินที่ดีขึ้นให้กับคนไทยอย่างแท้จริง นายนริศ สถาผลเดชา ประธานกลุ่ม งาน Data และ Analytics ทีเอ็มบีธนชาต เปิดเผยถึงแนวทางการใช้ Data และ AI ในการพลิกโฉมการให้บริการของธนาคารว่า “ทีทีบี ขับเคลื่อนองค์กรด้วยการนำ Data มาวิเคราะห์ และให้ความสำคัญกับการเข้าใจลูกค้าเชิงลึก เพื่อให้ทราบพฤติกรรมและความต้องการที่แท้จริงที่จะช่วยให้ธนาคารสามารถตอบสนองความต้องการของลูกค้ามากขึ้น โดยการยกระดับการบริการและสร้างประสบการณ์ทางการเงิน ตอบโจทย์ลูกค้าแต่ละบุคคลอย่างเฉพาะเจาะจงผ่าน Personalized AI Engine นอกจากนี้ ธนาคารได้ช่วยลูกค้าลดความเสี่ยงจากการทำธุรกรรมทางการเงิน โดยเฉพาะการโอนเงินเข้าบัญชีที่น่าสงสัยว่าอาจเป็น “มิจฉาชีพ” ที่หลอกลวงทางการเงินทุกรูปแบบ พร้อมยกระดับความปลอดภัยแบบเฉพาะบุคคล ด้วยระบบแจ้งเตือนบนหน้าแอปพลิเคชันโมบายแบงก์กิ้ง ttb touch เพื่อลดความเสี่ยง ซึ่งสะท้อนถึงความตั้งใจในการพัฒนาบริการให้มีทั้งคุณภาพและความปลอดภัยสูงสุด” มอบประสบการณ์ทางการเงินในระดับเฉพาะบุคคลด้วย Segment of One ทีทีบีมอบบริการทางการเงินที่ตอบโจทย์ลูกค้าในระดับเฉพาะบุคคล บนแอป ttb touch ด้วยแนวคิด Humanized Digital Banking ที่เป็นประโยชน์กับลูกค้าได้อย่างรอบด้าน โดยพิจารณาจากพฤติกรรมการใช้จ่าย ไลฟ์สไตล์ และความต้องการของลูกค้าแต่ละคน ทำให้ธนาคารสามารถนำเสนอบริการที่ตรงใจลูกค้าในเวลาที่เหมาะสม รวมไปถึงการแจ้งเตือน และแนะนำข้อมูลที่เป็นประโยชน์กับลูกค้าผ่าน Personalized Message มากกว่า 4 ล้านราย ผ่าน 18 ล้านข้อความต่อวันบนแอป ttb touch ซึ่งช่วยสร้างความประทับใจและความสัมพันธ์อันดีกับลูกค้า ส่งผลให้ยอด Digital Sales ผ่านการทำ Personalized Card เติบโตถึง 2 เท่า และสร้างความพึงพอใจให้ลูกค้าในช่องทางดิจิทัลอย่างเห็นได้ชัด AI ป้องกันการทุจริต ยกระดับความปลอดภัยให้ลูกค้าผ่าน “4V” ในยุคที่ความปลอดภัยทางการเงินมีความสำคัญมากยิ่งขึ้น ทีทีบีได้พัฒนาระบบ AI เพื่อป้องกันการทุจริตทางการเงิน โดยนำ “4V” ได้แก่ Volume, Variety, Velocity และ Veracity มาใช้ในการตรวจจับรูปแบบธุรกรรมที่มีความเสี่ยง ด้วยวิธีนี้ทำให้ธนาคารสามารถลดอัตราบัญชีม้าเกิดใหม่ได้อย่างมีนัยยะสำคัญ ซึ่งสะท้อนให้เห็นถึงความสามารถในการรักษาความปลอดภัยของลูกค้าได้อย่างมีประสิทธิภาพ และทีทีบียังได้มีการแจ้งเตือนลูกค้าแอปttb touch เพื่อยกระดับความปลอดภัยทางการเงินในระดับเฉพาะบุคคล โดยในช่วงที่ผ่านมา ธนาคารได้วิเคราะห์ข้อมูลและส่ง Personalized Card แจ้งเตือนไปยังลูกค้ากลุ่มหนึ่งที่มีความเสี่ยง ซึ่งพบว่ามีลูกค้าให้การตอบรับและเข้าไปปิดฟังก์ชันการใช้จ่ายร้านค้าออนไลน์และการใช้จ่ายโฆษณาบนบัตรเครดิตที่ไม่ได้ใช้งานถึง 43,000 ราย อีกทั้งยังได้ปรับลดวงเงินการทำธุรกรรมที่ลูกค้าตั้งค่าวงเงินไว้เกินความจำเป็นไปกว่า 25,000 ราย ขับเคลื่อนด้วย Gen AI และ databricks เพิ่มประสิทธิภาพในการให้บริการ ทีทีบีนำเทคโนโลยีการประมวลผลภาษาธรรมชาติ (NLP) และ Generative AI เชิงสร้างสรรค์มาใช้เพิ่มประสิทธิภาพในการให้บริการของพนักงานในช่องทาง ttb contact center ที่ทำให้สามารถตอบคำถามลูกค้าได้รวดเร็วและแม่นยำมากขึ้นกว่าเท่าตัว พร้อมทั้งยกระดับขีดความสามารถด้าน Data and AI โดยใช้แพลตฟอร์มสุดล้ำอย่าง databricks ที่ Gartner ได้จัดลำดับให้เป็นผู้นำด้าน Data and AI ในการประมวลผลข้อมูล เพื่อช่วยเพิ่มประสิทธิภาพการใช้งาน อาทิ ความรวดเร็วในการใช้และประมวลผลข้อมูลที่ให้ความสามารถในการใช้ประโยชน์ได้เรียลไทม์ และรองรับปริมาณการประมวลผลข้อมูลที่มีขนาดใหญ่ ตลอดจนเจาะลึกเชิงเทคนิคทำให้ส่ง Personalized Message หาลูกค้าได้จำนวนมาก ถูกจังหวะ ถูกเวลา…

Read More

เมืองไทยประกันชีวิต คว้า 3 รางวัลใหญ่ จาก สำนักงานคณะกรรมการ ก.ล.ต. ประกาศผลรางวัลในโครงการ “ตลาดทุนไทยร่วมใจส่งพลังความรู้สู่ประชาชน” เฟสที่ 2 ซึ่งเป็นเวทีที่มอบรางวัลให้แก่บริษัทที่มีบทบาทสำคัญในการเสริมสร้างความรู้ด้านการเงินและการลงทุนแก่สังคมไทย  มุ่งเน้นการนำเสนอด้วยแนวทางการนำเสนอที่โดดเด่นและสร้างผลกระทบเชิงบวกอย่างยั่งยืน นายสาระ ล่ำซำ  ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท เมืองไทยประกันชีวิต จำกัด (มหาชน) เปิดเผยว่า  “บริษัทมีความมุ่งมั่นเสมอในการสร้างหลักประกันชีวิตและสุขภาพที่มั่นคงให้กับคนไทย และตระหนักถึงการให้ความรู้ด้านการเงินและการประกันชีวิตเป็นเรื่องสำคัญอย่างยิ่งในบริบทของประเทศไทย ที่ได้ก้าวเข้าสู่สังคมสูงวัยอย่างเต็มรูปแบบ บริษัทได้ส่งเสริมความรู้ด้านการเงินและการประกันชีวิต ทั้งภายในองค์กรและสู่ประชาชนทั่วไป เพื่อให้ทุกคนสามารถวางแผนการเงินได้อย่างมีประสิทธิภาพ    โดยแนวทางการส่งเสริมความรู้ของเมืองไทยประกันชีวิตที่ผ่านมานั้นยึดมั่นในพันธกิจการเสริมสร้างรากฐานการเงินที่แข็งแกร่งให้กับสังคมไทย โดยดำเนินงานใน 2 มิติหลัก ดังนี้ การพัฒนาพนักงาน: เมืองไทยประกันชีวิตให้ความสำคัญกับการพัฒนาทักษะการบริหารการเงินส่วนบุคคลของพนักงาน เพื่อยกระดับคุณภาพชีวิตและความมั่นคงในอนาคต การให้ความรู้แก่ประชาชน: เมืองไทยประกันชีวิตใช้ประโยชน์จากสื่อออนไลน์และโซเชียลมีเดีย เพื่อให้ความรู้ด้านการเงินและการประกันชีวิตเข้าถึงได้ง่ายและเข้าใจได้ง่าย พร้อมจัดกิจกรรม Workshop ที่ช่วยให้ประชาชนสามารถลงมือวางแผนการเงินของตนเองได้อย่างแท้จริง             ทั้งนี้ในโอกาสที่ สำนักงานคณะกรรมการกำกับหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ (ก.ล.ต.)  ได้จัดโครงการ “ตลาดทุนไทย ร่วมใจส่งพลังความรู้ สู่ประชาชน เฟส 2” ผนึกกำลังผู้ประกอบธุรกิจในตลาดทุนร่วมสร้างความรู้ความเข้าใจและทักษะด้านการเงินการลงทุน (Financial Literacy) ให้แก่ผู้ลงทุนและประชาชน ในเฟส 2 ประจำปี 2567    โดยในปีนี้ เมืองไทยประกันชีวิต สามารถผ่านเกณฑ์การพิจารณา จาก ก.ล.ต.    ได้รับรางวัลเกียรติทั้ง 3 ประเภท  ซึ่งสะท้อนถึงการเป็นองค์กรที่สร้างคุณค่าในการเป็น “ผู้ให้ความรู้” ด้านการเงินการลงทุนที่นอกเหนือจากการเสนอขายผลิตภัณฑ์ อันเป็นคุณประโยชน์แก่สังคมและประชาช   ได้แก่ รางวัลขวัญใจมหาชน (Public Favorite Award): ESG: RakLearn Social Media by MTL โดยโครงการ “RakLearn” มุ่งเน้นการเผยแพร่ความรู้ด้านการเงิน การลงทุน และการประกันชีวิต ผ่านแพลตฟอร์ม TikTok และ Facebook โดยนำเสนอเนื้อหาในรูปแบบวิดีโอสั้นและอินโฟกราฟิกส์ สื่อสารด้วยภาษาที่เข้าใจง่าย  ช่วยให้การวางแผนการเงินกลายเป็นเรื่องที่เข้าถึงได้ทุกคน รางวัลการสร้างองค์ความรู้อย่างยั่งยืน (Sustainability Award): ESG: Financial Literacy…

Read More

  บริษัทหลักทรัพย์จัดการกองทุน อีสท์สปริง (ประเทศไทย) จำกัด หรือ บลจ.อีสท์สปริง เตรียมจ่ายเงินปันผลกองทุนเปิดอีสท์สปริง SET50 (ชนิดจ่ายเงินปันผล) (ES-SET50-D)สำหรับผลการดําเนินงานรอบระยะเวลาบัญชี 6 เดือน ตั้งแต่วันที่ 19 มิถุนายน 2567 ถึงวันที่ 31 ตุลาคม 2567 ในอัตรา 0.40 บาทต่อหน่วย โดยกำหนดเงินจ่ายปันผลในวันที่ 19 พฤศจิกายน 2567 สำหรับกองทุนเปิดอีสท์สปริง SET50 (ชนิดจ่ายเงินปันผล) มีนโยบายที่จะพยายามลงทุนในหุ้นเต็มอัตรา (fully invested) เพื่อให้สามารถสร้างผลตอบแทนที่ใกล้เคียงกับดัชนี SET50 ให้มากที่สุดเท่าที่จะทำได้กองทุนจะใช้กลยุทธ์การบริหารกองทุนเชิงรับ (Passive management strategy) เพื่อสร้างผลตอบแทนจากการลงทุนให้ใกล้เคียงกับผลตอบแทนของดัชนี SET50 ทั้งนี้กองทุนดังกล่าวได้เริ่มต้น Class D – ชนิดจ่ายเงินปันผล เมื่อวันที่ 17 มิถุนายน 2567 ที่ผ่านมา โดยงวดนี้นับเป็นการจ่ายเงินปันผลครั้งแรก รวมเป็นยอดจ่ายเงินปันผลทั้งสิ้น 0.40 บาทต่อหน่วย (ที่มา: บลจ.อีสท์สปริง ณ วันที่ 12 พฤศจิกายน 2567) ผู้สนใจสามารถดูรายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ www.eastspring.co.th หรือโทร 1725 ในวันและเวลาทำการ หรือผ่านช่องทางการขายของบลจ.อีสท์สปริง หรือผู้สนับสนุนการขายและรับซื้อคืนที่ได้รับการแต่งตั้ง และผู้ลงทุนควรทำความเข้าใจลักษณะสินค้า เงื่อนไขผลตอบแทน และความเสี่ยง ก่อนการตัดสินใจลงทุน และผลการดำเนินงานในอดีตมิได้เป็นสิ่งยืนยันถึงผลการดำเนินงานในอนาคต ทั้งนี้ การลงทุนในหน่วยลงทุนมิใช่การฝากเงิน การฝากเงินมีความเสี่ยงของการลงทุน ผู้ถือหน่วยลงทุนอาจได้รับเงินลงทุนคืนมากกว่าหรือน้อยกว่าเงินลงทุนเริ่มแรกก็ได้ และอาจไม่ได้รับชำระเงินค่าขายคืนหน่วยลงทุนภายในระยะเวลาที่กำหนด หรืออาจไม่สามารถขายคืนหน่วยลงทุนได้ตามที่มีคำสั่งไว้

Read More