ไทยประกันชีวิต ยืนยันให้ความคุ้มครองโควิด-19 ตามเงื่อนไขสัญญาเพิ่มเติมประกันสุขภาพ พร้อมมอบบริการดูแลผู้เอาประกันภัยครบรอบด้าน นายสวัสดิ์ นฤวรวงศ์ รองกรรมการผู้จัดการใหญ่ และ Chief Life Operation Officer บริษัท ไทยประกันชีวิต จำกัด (มหาชน) เปิดเผยว่า ไทยประกันชีวิตดำเนินนโยบายมุ่งสู่การเป็นทุกคำตอบของชีวิต หรือ Life Solutions และในสถานการณ์ปัจจุบันที่มีการแพร่ระบาดของโรคโควิด-19 อย่างต่อเนื่อง แม้จะมีการติดเชื้อในวงกว้าง บริษัทฯ ยังคงยืนยันมอบความคุ้มครองโรคโควิด-19 ตามเงื่อนไขสัญญาเพิ่มเติมประกันสุขภาพ ทั้งในส่วนของค่ารักษาพยาบาลหรือค่าชดเชยรายได้ ในกรณีต้องพักรักษาตัวในโรงพยาบาล นอกจากการพักรักษาตัวในโรงพยาบาลแล้ว บริษัทฯ ยังให้ความคุ้มครองไปถึงการพักรักษาตัวในโรงพยาบาลสนาม และหอผู้ป่วยเฉพาะกิจ (Hospitel) ซึ่งในกรณีดังกล่าวสามารถเบิกค่ารักษาพยาบาลได้โดยไม่ต้องสำรองจ่าย สำหรับโรงพยาบาลที่เป็นคู่สัญญา และในอนาคตหากมีการขยายแนวทางการรักษาของกระทรวงสาธารณสุขในรูปแบบอื่นๆ บริษัทฯ พร้อมที่จะให้การสนับสนุนตามความเหมาะสมต่อไป ในช่วงเวลาที่สถานการณ์การติดเชื้อเกิดขึ้นต่อเนื่อง บริษัทฯ คำนึงถึงผู้เอาประกันภัยที่ซื้อสัญญาเพิ่มเติมสุขภาพทุกประเภท ที่ยังต้องมีระยะเวลารอคอยความคุ้มครองกรณีเจ็บป่วย จึงได้ลดระยะเวลารอคอยความคุ้มครองจาก 30 วัน เหลือ 14 วัน ในกรณีเจ็บป่วยด้วยโรคโควิด-19 และภาวะแทรกซ้อนจากการฉีดวัคซีน รวมถึงความคุ้มครองค่าชดเชยรายวันกรณีรักษาตัวในโรงพยาบาล และการตรวจหาเชื้อโควิด-19 ตามเกณฑ์การตรวจที่กระทรวงสาธารณสุขกำหนด นอกจากนี้ บริษัทฯ ยังมีความห่วงใยผู้เอาประกันภัยท่ามกลางสถานการณ์การแพร่ระบาด จึงเพิ่มบริการไทยประกันชีวิต Telemedicine สำหรับผู้เอาประกันภัยที่เจ็บป่วยด้วยโรคเรื้อรัง ผู้เอาประกันภัยที่ต้องติดตามการรักษาหลังการผ่าตัด หรือหลังเข้าพักรักษาตัวในโรงพยาบาล ซึ่งโรคเหล่านี้ไม่สามารถรอได้มีความจำเป็นต้องได้รับการดูแลต่อเนื่อง จึงได้ร่วมมือกับโรงพยาบาลคู่สัญญากว่า 30 แห่ง ให้บริการตรวจรักษาทางไกลผ่าน VDO Call หรือโทรศัพท์เพื่อติดตามการรักษา รวมถึงการส่งยาจากโรงพยาบาลเพื่อลดความเสี่ยงในการสัมผัสเชื้อ โดยให้ความคุ้มครองตามสัญญาเช่นเดียวกับการรับการรักษาที่โรงพยาบาลโดยไม่ต้องสำรองจ่าย รวมถึงผู้เอาประกันภัยสามารถรับบริการปรึกษาแพทย์จากโรงพยาบาลสมิติเวชแบบ Online ผ่าน Video Conference พร้อมสั่งการรักษาด้วย Telemedicine ผ่านแอปพลิเคชัน ไทยประกันชีวิต ได้ทุกที่ ทุกเวลา ตลอด 24 ชั่วโมง โดยจะให้บริการสำหรับผู้เอาประกันภัยรายบุคคลที่มีประกันสุขภาพแบบผู้ป่วยนอก ซึ่งเจ็บป่วยด้วยโรคทั่วไปที่มีอาการไม่รุนแรง รวมถึงผู้ที่มีโรคประจำตัวที่ต้องการปรึกษาหรือติดตามผลการรักษา ทั้งนี้ บริษัทฯ จะคุ้มครองค่าใช้จ่ายการให้คำปรึกษา รวมถึงค่ายาจากการเข้ารับการรักษาตามเงื่อนไขกรมธรรม์โดยไม่ต้องสำรองจ่าย ตอบโจทย์การใช้ชีวิตในสถานการณ์ปัจจุบัน หมดความกังวลด้านสุขภาพ “ไทยประกันชีวิตพร้อมดูแลทุกชีวิตในสังคม และพร้อมเคียงข้างในทุกสถานการณ์ พร้อมขอเป็นกำลังใจให้คนไทยทุกคนผ่านพ้นวิกฤตการณ์นี้ไปด้วยกัน” นายสวัสดิ์กล่าว
Author: staff
เคทีซี แจ้งกำไรสุทธิครึ่งปีแรกโต 20.1% เท่ากับ 3,352 ล้านบาท ส่วนของกำไรสุทธิไตรมาส 2 เท่ากับ 1,703 ล้านบาท แม้จะได้รับผลกระทบจากการระบาดของโควิด-19 ต่อเนื่องมาถึงระลอก 3 โดยใช้ประสบการณ์ปรับกลยุทธ์ในการทำธุรกิจเพื่อรับมือกับสถานการณ์ที่เกิดขึ้น ส่งผลให้การดำเนินงานโดยรวมยังผ่านไปได้ดี เงินให้สินเชื่อแก่ลูกหนี้และดอกเบี้ยค้างรับรวมเพิ่มขึ้น ในขณะที่ NPL อยู่ในระดับใกล้เคียงเดิม พร้อมเดินหน้าครึ่งปีหลังขยายธุรกิจสินเชื่อมีหลักประกันให้ครบวงจร รักษาฐานสมาชิกและบริหารคุณภาพพอร์ตลูกหนี้ ช่วยเหลือผู้เดือดร้อนจากโควิด-19 ร่วมกับองค์กรการกุศลต่างๆ และขยายเวลาช่วยเหลือลูกหนี้รายย่อยจนถึงวันที่ 31 ธันวาคม 2564 ตามมาตรการของธนาคารแห่งประเทศไทย นายระเฑียร ศรีมงคล ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร “เคทีซี” หรือ กล่าวว่า “ภาพรวมของอุตสาหกรรมสินเชื่อเพื่อผู้บริโภคในช่วง 6 เดือนของปีนี้ยังคงเติบโต ภายใต้สภาวะเศรษฐกิจที่ ไม่แน่นอนจากการระบาดระลอกใหม่ของไวรัสโควิด-19 สำหรับภาพรวมการดำเนินงานธุรกิจของเคทีซียังผ่านไปได้ดี โดยเรียนรู้จากประสบการณ์มาเป็นเข็มทิศในการปรับแผนกลยุทธ์เพื่อรับมือกับสถานการณ์ที่เกิดขึ้น โดยสิ้นเดือนพฤษภาคม 2564 บริษัทฯ มีการขยายตัวของลูกหนี้บัตรเครดิตเท่ากับ 10.4% (อุตสาหกรรมโต 8.6%) ทำให้เคทีซีมีสัดส่วนของลูกหนี้บัตรเครดิตเทียบกับอุตสาหกรรมเท่ากับ 13.7% เพิ่มขึ้นจากช่วงเดียวกันของปี 2563 ที่มีสัดส่วน 13.5% ปริมาณการใช้จ่ายผ่านบัตรเครดิตเพิ่มขึ้น 5.4% (อุตสาหกรรมโต 2.2%) และสัดส่วนลูกหนี้สินเชื่อบุคคลเทียบกับอุตสาหกรรมเท่ากับ 4.7%” “อย่างไรก็ดีสถานการณ์แพร่รระบาดของไวรัสโควิด-19 อย่างต่อเนื่องถึงระลอก 3 ได้ส่งผลกระทบต่อกำลังซื้อและการจัดหาสมาชิกใหม่ทำได้ยากขึ้น รวมถึงการเติบโตของพอร์ตลูกหนี้รวมและปริมาณการใช้จ่ายผ่านบัตรขยายตัวได้ไม่มาก เคทีซีจึงมีแผนสร้างโมเดลธุรกิจขยายตัวไปยังสินเชื่อมีหลักประกันมากขึ้น โดยได้เข้าซื้อหุ้น 75.05% ของบริษัท กรุงไทยธุรกิจลีสซิ่ง จำกัด (KTBL) เมื่อปลายเดือนพฤษภาคม 2564 และภายหลังการตรวจสอบตามเงื่อนไขเสร็จสิ้นในเดือนพฤศจิกายน 2564 KTBL จะเป็นหนึ่งในบริษัทย่อยของเคทีซี” “สำหรับผลการดำเนินงานสิ้นสุดวันที่ 30 มิถุนายน 2564 เปรียบเทียบกับช่วงเดียวกันของปี 2563 เคทีซีมีกำไรสุทธิในช่วงครึ่งปีแรก 3,352 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 20.1% และมีกำไรสุทธิในไตรมาส 2 เท่ากับ 1,703 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 48.2% ซึ่งแม้ว่าบริษัทฯ จะมีรายได้รวมลดลง แต่ยังสามารถบริหารจัดการค่าใช้จ่ายรวมให้ต่ำลง…
อาคเนย์ประกันภัย หนึ่งในสายธุรกิจหลักด้านประกันและการเงิน ไทยกรุ๊ป โฮลดิ้งส์ พร้อมดูแลลูกค้ายืนยันไม่ยกเลิกกรมธรรม์โควิด-19 ทุกประเภท เตรียมส่งผลิตภัณฑ์รับมือสถานการณ์ ตอบโจทย์ทุกความกังวลใจ ปลายเดือนกรกฎาคม 2564 นายมนตรี วงศ์ท่าเรือ กรรมการผู้จัดการบริษัท อาคเนย์ประกันภัย จำกัด (มหาชน) กล่าวว่า บริษัทห่วงใยและเข้าใจคนไทยที่มีความกังวลต่อสถานการณ์แพร่ระบาดไวรัสโควิด-19 อาคเนย์ขอยืนยันว่าพร้อมดูแลและให้ความคุ้มครองลูกค้าทุกรายที่ซื้อกรมธรรม์ประกันภัยโควิด-19 ทุกประเภทกับบริษัทจนครบกำหนดอายุกรมธรรม์ตามนโยบายของบริษัท ที่มุ่งเป็นส่วนหนึ่งในการช่วยบริหารความเสี่ยงให้กับคนไทยและครอบครัวของทุกคน สามารถใช้ชีวิตหรือดำเนินธุรกิจได้แบบปราศจากความกังวลใจ ผ่านผลิตภัณฑ์และบริการทางการเงินที่ตอบโจทย์ ตรงใจ เข้าถึงได้ง่าย คุ้มค่าเงิน เพื่อให้ลูกค้ามีความสุข “จากสถานการณ์ปัจจุบันที่มีจำนวนผู้ติดเชื้อและเสียชีวิตเพิ่มสูงขึ้น ส่งผลให้มีปริมาณความสนใจสอบถามเกี่ยวกับรายละเอียดการซื้อประกันภัยโควิด-19 ทุกประเภท ไม่ว่าจะเป็นกรมธรรม์แบบเจอจ่ายจบ ค่ารักษาพยาบาล เงินชดเชยรายได้ และเงินปลอบขวัญ เข้ามาที่อาคเนย์อย่างล้นหลาม ในทุกช่องทางทั้งออนไลน์และออฟไลน์ สะท้อนให้เห็นถึงความกังวลใจของผู้บริโภคเกี่ยวกับสุขภาพและการวางแผนทางการเงินของตัวเองและคนในครอบครัว เราจึงเตรียมออกผลิตภัณฑ์ประกันภัยโควิด-19 ในรูปแบบใหม่เพื่อคุ้มครองผู้บริโภค โดยคาดว่าจะสามารถเปิดตัวได้ภายในเดือนกรกฎาคมนี้” นายมนตรี กล่าว ทั้งนี้ สามารถสอบถามข้อมูลเพิ่มเติมเกี่ยวกับการทำประกันภัยอาคเนย์ได้ที่ศูนย์ดูแลลูกค้า โทร 1726 กด 9 , แอปพลิเคชันไลน์ Line @Southeast.th , เว็บไซต์ www.southeastinsurance.co.th และเฟซบุ๊ก อาคเนย์ Southeast https://m.facebook.com/Segsoutheastpage/
อลิอันซ์ อยุธยา ประกันชีวิต ตอกย้ำความแข็งแกร่งท่ามกลางสถานการณ์โควิด 19 ยืนยันให้ความคุ้มครองลูกค้าทุกรายที่ถือกรมธรรม์อลิอันซ์ อยุธยา ประกันชีวิตและสุขภาพ พร้อมเดินหน้ามาตรการช่วยเหลือต่อเนื่อง สนับสนุนสังคมไทยให้เดินหน้าฝ่าโควิดไปด้วยกัน นางสาวพัชรา ทวีชัยวัฒนะ รองกรรมการผู้จัดการใหญ่ สายงานบริหารงานลูกค้า บริษัท อลิอันซ์ อยุธยา ประกันชีวิต จำกัด (มหาชน) เปิดเผยว่า จากสถานการณ์วิกฤตโควิด 19 ในขณะนี้ มีความไม่แน่นอนเกิดขึ้นมากมาย ทำให้ผู้บริโภคเริ่มเกิดความไม่มั่นใจ สำหรับ อลิอันซ์ อยุธยา ในฐานะผู้นำในประกันชีวิตและสุขภาพ ขอยืนยันความมั่นคงของบริษัท และยืนยันความคุ้มครองที่ลูกค้าจะได้รับจะเป็นไปตามกรมธรรม์ที่ลูกค้าถือไว้ทุกประการ บริษัทไม่มีนโยบายในการยกลิกสัญญากับลูกค้าอันเนื่องมาจากสถานการณ์ที่ไม่แน่นอน ทั้งนี้ จนถึงปัจจุบัน บริษัทฯ ได้จ่ายเคลมตามกรมธรรม์จากสถานกาณณ์โควิด 19 ไปแล้ว กว่า 2,500 เคส ยอดเคลมกว่า 157 ล้านบาท นอกจากนั้น ยังมีมาตรการเสริมความคุ้มครองโควิด-19 รอบด้านสำหรับลูกค้า อาทิ การให้ความคุ้มครอง กรณีลูกค้าติดเชื้อและเข้ารับการรักษาเป็นผู้ป่วยใน ซึ่งครอบคลุมการรักษาทั้งในโรงพยาบาล โรงพยาบาลสนาม และหอผู้ป่วยเฉพาะกิจ (hospitel) ความคุ้มครองการตรวจหาเชื้อโควิด-19 สำหรับลูกค้าที่มีอาการและได้รับคำแนะนำจากแพทย์ การช่วยประสานงานและให้คำปรึกษาการเข้ารับการรักษา กรณีที่ลูกค้า ได้รับการตรวจวินิจฉัยว่าเป็นโควิด-19 และ การลดระยะเวลารอคอยให้ลูกค้าได้รับความคุ้มครองเร็วขึ้น กรณีที่ลูกค้ามีการซื้อสัญญาเพิ่มเติมคุ้มครองสุขภาพฉบับใหม่ โดย ลดระยะเวลารอคอยการเข้ารับการรักษาด้วยโรคโควิด-19 จาก 30 วันเป็น 14 วัน และสามารถใช้บริการเคลมแบบที่ลูกค้าไม่ต้องสำรองจ่ายออกไปก่อน (แฟกซ์เคลม) จากเดิม ที่จะใช้สิทธิ์ได้ต้องรอ 90 วัน ลดเหลือเพียง 30 วันก็สามารถเคลมแบบไม่ต้องสำรองจ่ายได้ ทั้งนี้ขึ้นอยู่กับความพร้อมของรพ.คู่สัญญา และ เงื่อนไขกรมธรรม์ด้วย “ไม่ว่าสถานการณ์จะไม่แน่นอนซักเพียงใด อลิอันซ์ อยุธยา จะอยู่เคียงข้างลูกค้า พร้อมที่จะให้ความคุ้มครองตามคำมั่นสัญญาของเรา และพร้อมจะเป็นอีกแรงขับเคลื่อนของสังคมไทย ที่จะจับมือทุกฝ่ายก้าวผ่านสถานการณ์ยากลำบากนี้ไปด้วยกัน” นางสาวพัชรา กล่าวทิ้งท้าย
ตามที่มีข่าวว่าบริษัทประกันภัยรายหนึ่งมีหนังสือถึงผู้เอาประกันภัยแจ้งการใช้สิทธิบอกเลิกกรมธรรม์ประกันภัยการติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 (COVID-19) แบบ เจอ จ่าย จบ หรือ COVID 2 in 1 รวมทั้งมีการเผยแพร่เอกสารการใช้สิทธิบอกเลิกกรมธรรม์ประกันภัยดังกล่าวต่อสาธารณชนนั้น สำนักงานคณะกรรมการกำกับและส่งเสริมการประกอบธุรกิจประกันภัย (สำนักงาน คปภ.) ไม่ได้นิ่งนอนใจ ได้มีการติดตามข้อมูลดังกล่าวอย่างต่อเนื่อง ได้ตรวจสอบข้อเท็จจริงและได้ประสานงานกับสมาคมประกันวินาศภัยไทย ตลอดจนผู้ที่เกี่ยวข้องอย่างใกล้ชิด เพื่อมิให้พี่น้องประชาชนได้รับความเดือดร้อน โดยเห็นว่า ในสถานการณ์ที่ประชาชนกำลังเดือดร้อน ระบบประกันภัยควรเป็นที่พึ่งและสามารถเข้าไปช่วยเหลือบรรเทาความเดือดร้อนได้อย่างมีประสิทธิภาพ ดังนั้นเพื่อความเป็นธรรมและบรรเทาความเดือดร้อนแก่ผู้เอาประกันภัยจากสถานการณ์การแพร่ระบาดของ COVID-19 ตลอดจนเพื่อเป็นการคุ้มครองสิทธิประโยชน์ของประชาชนผู้เอาประกันภัย สำนักงาน คปภ. จึงได้ดำเนินการออกคำสั่งนายทะเบียนที่ 38/2564 เรื่อง ให้ยกเลิกเงื่อนไขการใช้สิทธิบอกเลิกกรมธรรม์ประกันภัยโดยบริษัทในกรมธรรม์ประกันภัย COVID-19 สำหรับบริษัทประกันวินาศภัย เพื่อให้เกิดความเชื่อมั่นและเป็นการคุ้มครองประชาชนผู้เอาประกันภัย โดยคำสั่งนายทะเบียนที่ 38/2564 ได้สั่งให้ยกเลิกเงื่อนไขการใช้สิทธิบอกเลิกกรมธรรม์ประกันภัยโดยบริษัท สำหรับกรมธรรม์ประกันภัย COVID-19 ที่บริษัทได้รับความเห็นชอบจากนายทะเบียน และกรมธรรม์ประกันภัย COVID-19 ที่บริษัทได้ออกให้แก่ผู้เอาประกันภัยก่อนวันที่ 16 กรกฎาคม 2564 และยังคงมีผลใช้บังคับ เว้นแต่ปรากฏหลักฐานชัดเจนต่อบริษัทว่าผู้เอาประกันภัยได้กระทำการทุจริตหรือฉ้อฉลประกันภัย เพื่อให้ตนเองหรือผู้อื่นได้รับประโยชน์จากการประกันภัย ซึ่งหมายความว่า กรมธรรม์ประกันภัยโควิดที่ยังไม่หมดอายุจะได้รับความคุ้มครองตามเงื่อนไขของกรมธรรม์ประกันภัยต่อไปจนกว่าจะหมดอายุความคุ้มครอง โดยที่บริษัทประกันภัยจะไม่สามารถบอกเลิกกรมธรรม์ประกันภัยได้ตามอำเภอใจ “การออกคำสั่งนี้เป็นกรณีที่นายทะเบียนเห็นสมควร เนื่องจากเป็นเรื่องที่กระทบต่อพี่น้องประชาชนผู้เอาประกันโควิดเป็นวงกว้าง ทั้งส่งผลต่อความเชื่อมั่นของระบบประกันภัยไทย รวมทั้งมีการใช้มาตรการอย่างอื่นแล้วไม่เป็นผล จึงจำเป็นต้องใช้มาตรการทางกฎหมายดำเนินการโดยเร่งด่วนเพื่อมิให้ปัญหาลุกลามบานปลาย โดยที่คำสั่งดังกล่าวจะมีผลกับบริษัทประกันวินาศภัยทุกบริษัท จึงไม่มีการเลือกปฏิบัติ ซึ่งต่อไปจะได้หารือกันเพื่อให้มีการปรับปรุงเงื่อนไขการบอกเลิกกรมธรรม์ประกันภัยให้เกิดความเป็นธรรมแก่ผู้บริโภคยิ่งขึ้น ทั้งนี้ สำนักงาน คปภ. จะติดตามสถานการณ์ที่เกิดขึ้นอย่างใกล้ชิด และขอให้ประชาชนมั่นใจต่อระบบประกันภัย สามารถใช้เป็นเครื่องมือในการบริหารความเสี่ยงได้ในทุกสถานการณ์ หากไม่ได้รับความเป็นธรรมเรื่องประกันภัย หรือต้องการข้อมูลด้านประกันภัยเพิ่มเติม สอบถามได้ที่สายด่วน คปภ. 1186 หรือ Add Line Official @oicconnect” เลขาธิการ คปภ. กล่าวในตอนท้าย
กลุ่มทิสโก้เผยผลประกอบการไตรมาส 2/2564จากไตรมาสก่อนหน้า สาเหตุหลักจากการแพร่ระบาดของโควิด-19 ที่ยังคงยืดเยื้อและรุนแรง ประเมินเศรษฐกิจไทยในช่วงที่เหลือของปีมีแนวโน้มอ่อนแอมากขึ้น พร้อมเร่งให้ความช่วยเหลือลูกค้ากลุ่มเปราะบางให้ผ่านพ้นวิกฤต นายศักดิ์ชัย พีชะพัฒน์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหารกลุ่มทิสโก้ (Mr. Sakchai Peechapat, Group Chief Executive) เปิดเผยว่า การดำเนินงานของกลุ่มทิสโก้ในช่วงไตรมาส 2/2564 มีกำไรสุทธิ 1,666 ล้านบาท ลดลง 97 ล้านบาท หรือ 5.5% จากไตรมาส 1/2564 ผลกระทบจากการแพร่ระบาดของโควิด-19 ระลอกใหม่ที่กดดันการฟื้นตัวของเศรษฐกิจ ส่งผลให้รายได้ค่าธรรมเนียมจากทุกธุรกิจหลักอ่อนตัวลง ทั้งค่าธรรมเนียมธุรกิจนายหน้าประกันภัย ค่าธรรมเนียมธุรกิจหลักทรัพย์ และค่าธรรมเนียมจัดการกองทุน อย่างไรก็ดี ค่าใช้จ่ายสำรองปรับตัวลดลงจากไตรมาสก่อน เนื่องจากบริษัทได้ตั้งสำรองในระดับสูงเพื่อรองรับความเสี่ยงล่วงหน้าไปแล้ว ซึ่งสอดคล้องกับนโยบายการดำเนินธุรกิจอย่างระมัดระวังมาโดยตลอด แม้อัตราส่วนสินเชื่อด้อยคุณภาพ (NPL Ratio) ขยับขึ้นมาอยู่ที่ 2.7% แต่ถือเป็นไปตามกรอบที่คาดการณ์ไว้ ขณะที่อัตราส่วนเงินสำรองต่อสินเชื่อด้อยคุณภาพ (Coverage Ratio) อยู่ในระดับแข็งแกร่งที่ 213.7% “เศรษฐกิจไทยในช่วงครึ่งปีแรกยังเปราะบางและคาดว่าจะขยายตัวในระดับต่ำ แม้จะมีแรงหนุนจากฐานที่ต่ำมากในช่วงเดียวกันของปีก่อน ทั้งนี้ หากมองไปในระยะข้างหน้าเศรษฐกิจไทยมีแนวโน้มอ่อนแอเพิ่มมากขึ้น จากสถานการณ์การแพร่ระบาดของโควิด-19 ที่ยังรุนแรงและมีผู้ติดเชื้อเพิ่มขึ้นจำนวนมาก นำไปสู่การบังคับใช้มาตรการปิดเมือง (Lockdown) ในบางพื้นที่ ซึ่งจะกระทบต่อการใช้จ่ายของภาคเอกชนให้มีแนวโน้มชะลอตัวลงยิ่งกว่าเดิม และเศรษฐกิจจะขยายตัวได้ต่ำกว่าที่คาดการณ์ไว้” นายศักดิ์ชัย กล่าว ด้วยสถานการณ์การแพร่ระบาดที่ยืดเยื้อและรุนแรงมากกว่าที่คาดนี้ การให้ความช่วยเหลือลูกค้าอย่างทันการณ์จึงเป็นเรื่องจำเป็นเร่งด่วน โดยเฉพาะในกลุ่มธุรกิจเอสเอ็มอีและกลุ่มรายย่อย โดยแนวทางที่ทิสโก้ให้ความช่วยเหลือจะอยู่ในรูปแบบของการปรับโครงสร้างหนี้ เช่น การปรับลดค่างวด การขยายระยะเวลาการผ่อนชำระ การปรับวิธีผ่อนชำระแบบขั้นบันได เป็นต้น ในส่วนของลูกค้าธุรกิจยังให้ความช่วยเหลือผ่านมาตรการสินเชื่อดอกเบี้ยต่ำ (Soft Loan) และสินเชื่อฟื้นฟูของธนาคารแห่งประเทศไทย ซึ่งปัจจุบันอนุมัติวงเงินแล้วจำนวน 4,000 ล้านบาท ขณะที่ลูกค้ารายย่อย ซึ่งส่วนใหญ่เป็นกลุ่มเช่าซื้อและจำนำทะเบียนรถยนต์ หากทำการปรับโครงสร้างหนี้แล้วยังผ่อนชำระไม่ไหว สามารถนำรถมาคืนในโครงการพิเศษ “คืนรถจบหนี้” ได้ โดยลูกค้าต้องผ่อนชำระมาแล้วไม่น้อยกว่า 12 งวด และหากอยู่ในเงื่อนไขที่กำหนด ทิสโก้จะยกหนี้ให้ทั้งหมด โดยไม่ดำเนินการฟ้องร้องเรียกค่าเสียหายเพิ่มเติม ไม่มีค่าธรรมเนียม และระบุสถานะเป็นปิดบัญชี ทำให้ลูกค้าจะไม่เสียประวัติเครดิตและไม่มีภาระหนี้ผูกพันในระยะยาว ซึ่งไม่เพียงแต่แก้ปัญหาให้ลูกค้าแบบเบ็ดเสร็จในภาวะวิกฤต ในอนาคตยังมีโอกาสกลับมาทำธุรกรรมขอสินเชื่อได้ใหม่ ซึ่งเอื้อให้เกิดผลดีต่อระบบโดยรวม ทั้งการลดจำนวนคดีที่จะเข้าสู่การพิจารณาของศาล การจบปัญหาหนี้ได้อย่างมีประสิทธิภาพ และสร้างประโยชน์ต่อระบบเศรษฐกิจของประเทศ โดยลูกค้าที่สนใจสามารถลงทะเบียนได้ตั้งแต่วันนี้จนถึงวันที่…
ซิกน่าประกันภัย ผู้นำทางด้านการประกันสุขภาพระดับโลก ตอกย้ำจุดมุ่งหมายของแบรนด์ในการสร้างโอกาสให้คนไทยสามารถเข้าถึงการประกันสุขภาพได้อย่างง่ายดาย ในราคาที่เอื้อมถึง เพื่อสร้างเสริมสุขภาพและความเป็นอยู่ที่ดีอย่างรอบด้านให้แก่คนไทย เปิดตัวแผนประกันความคุ้มครองใหม่ล่าสุด Cigna Select Care Immunotherapy (ซิกน่า ซีเล็คแคร์ อิมมูโนเทอราพี) ภายใต้คอนเซ็ปต์ ‘มะเร็งมา เจ็บปวดน้อยกว่า ด้วยการรักษาทางเลือกใหม่’ ให้ความคุ้มครองการรักษามะเร็งด้วยนวัตกรรมภูมิคุ้มกันบำบัด ภายใต้วงเงินสูงสุดถึง 5,000,000 บาท โดยเบี้ยประกันเริ่มต้นเพียงปีละ 744 บาท เท่านั้น ในปัจจุบัน การรักษาโรคมะเร็งในประเทศไทยส่วนใหญ่ยังคงเป็นการรักษาด้วยการฉายแสง (Radiotherapy) หรือการทำคีโม (Chemotherapy) ซึ่งอาจก่อให้เกิดผลข้างเคียงต่อเนื้อเยื่อรอบ ๆ เซลล์มะเร็ง เนื่องจากรังสีที่ใช้ในการทำลายเซลล์มะเร็งนั้น สามารถส่งผลต่อเนื้อเยื่อปกติได้ ทั้งนี้ด้วยนวัตกรรมการวิจัยทางการแพทย์ จึงเกิดการรักษามะเร็งรูปแบบใหม่ที่เรียกว่า การรักษาแบบภูมิคุ้มกันบำบัด (Immunotherapy) ถือเป็นการรักษาแบบทางเลือกที่มีประสิทธิภาพสูงและมีผลข้างเคียงที่น้อยกว่า เพื่อให้ผู้ป่วยโรคมะเร็งสามารถกลับมามีคุณภาพชีวิตที่ดียิ่งขึ้นได้ โดยหลักการในการรักษา คือการให้ผู้ป่วยได้รับยาภูมิคุ้มกันบำบัด เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพของเม็ดเลือดขาวในการกำจัดเซลล์มะเร็งที่เป็นสิ่งแปลกปลอมในร่างกายได้อย่างตรงจุด อีกทั้งยาภูมิคุ้มกันบำบัดนี้ ยังได้รับการอนุมัติจากองค์การอาหารและยา ประเทศไทย และได้ผ่านการวิจัยและรับรองคุณภาพจากบริษัทเวชภัณฑ์ชั้นนำระดับโลกอีกด้วย นายธีรวุฒิ สุธนะเสรีพร ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท ซิกน่าประกันภัย จำกัด (มหาชน) กล่าวว่า “เนื่องจากซิกน่าเล็งเห็นถึงรูปแบบการใช้ชีวิตของคนไทยที่เปลี่ยนแปลงไป และจำนวนสถิติตัวเลขของผู้ป่วยมะเร็งที่เพิ่มมากขึ้นในทุก ๆ ปี เราจึงต้องการยกระดับการรักษาโรคมะเร็งในประเทศไทย เพื่อให้ลูกค้าของเราสามารถอุ่นใจว่าหากโรคที่ไม่คาดฝันมาเยือน เราจะดูแลลูกค้าของเราอย่างดีที่สุด ทั้งนี้ ด้วยนวัตกรรมการรักษามะเร็งด้วยยาภูมิคุ้มกันบำบัด มีค่าใช้จ่ายที่สูงมาก จนทำให้ผู้ป่วยบางส่วนไม่สามารถแบกรับค่าใช้จ่ายส่วนนี้ไหว เราจึงนำจุดนี้มาพัฒนาเป็นผลิตภัณฑ์ เพื่อลดความกังวลในด้านค่ารักษาพยาบาลที่อาจเกิดขึ้น และเพื่อให้ลูกค้าของเราได้รับการรักษาที่ทันสมัยและมีประสิทธิภาพที่สูงกว่า ไม่เพียงเท่านี้ เรายังคงเดินหน้าออกผลิตภัณฑ์ตัวอื่น ๆ ต่อไป เพื่อให้สามารถตอบโจทย์ต่อความต้องการของลูกค้าได้ในทุกมิติอย่างแท้จริง” ความพิเศษของแผนประกัน ซิกน่า ซีเล็คแคร์ อิมมูโนเทอราพี (ภูมิคุ้มกันบำบัดมะเร็ง) ให้ความคุ้มครองสูงสุดภายใต้วงเงินถึง 5 ล้านบาท ครอบคลุมค่ายารักษาภูมิคุ้มกันบำบัดตามรายการที่แพทย์สั่ง และค่าใช้จ่ายในการตรวจตัวชี้วัดทางชีวภาพ (Biomarker test) โดยเริ่มคุ้มครองตั้งแต่อายุ 20 ปี ถึง 65 ปี และสามารถถือกรมธรรม์ต่อเนื่องจนถึงอายุ 75 ปี ถือเป็นแผนที่ตอบโจทย์ต่อลูกค้าทุกกลุ่ม และเป็นการเปิดโอกาสให้คนไทยสามารถเข้าถึงนวัตกรรมใหม่ ๆ ในการรักษาได้อย่างแท้จริง ผู้ที่สนใจซื้อแผนประกันความคุ้มครองซิกน่า ซีเล็คแคร์ อิมมูโนเทอราพี (ภูมิคุ้มกันบำบัดมะเร็ง) สามารถดูข้อมูลเพิ่มเติมได้ที่ https://bit.ly/3kdGn8C หรือสอบถามเพิ่มเติมได้ที่ Facebook CignaThailand หรือ โทร 02-035-2929 (วันจันทร์ – วันศุกร์ เวลาทำการ 9.30 – 18.00 น.)