Author: staff

    บริษัท กรุงเทพประกันชีวิต จำกัด (มหาชน)  นำทีมโดย นายจักรพงศ์ แสงแก้ว ผู้อำนวยการอาวุโส สายงานตัวแทนและที่ปรึกษาทางการเงิน และนางสาว อรนาฎ นชะพงษ์ ผู้อำนวยการอาวุโส สายกลยุทธ์การตลาดและบริหารจัดการลูกค้า พร้อมด้วย นายปรัชญ์  สิงหเสนี ผู้บริหารฝ่ายพัฒนาธุรกิจตัวแทนและที่ปรึกษาทางการเงิน นายรชฎ เอกรัตน์ ผู้บริหารฝ่ายปฏิบัติการและสนับสนุนการขายตัวแทนและที่ปรึกษาทางการเงิน นางสาวสกาว สำราญคง ผู้บริหารฝ่ายฝึกอบรมช่องทางการขาย และ นายนรินทร์ เอกวงศ์วิริยะ ผู้บริหารฝ่ายการตลาดและสื่อสารองค์กร ให้การต้อนรับนักขายรุ่นใหม่ ในงานสัมมนา Agency Grand Open House 2024  ซึ่งจัดขึ้นภายใต้แนวคิด “งานที่ใช่ ใช้ชีวิตที่ชอบ: Live A Life Beyond Imagination” เพื่อจุดประกายนักขายรุ่นใหม่ในการก้าวสู่เส้นทางอาชีพที่จะสร้างรายได้และมีอิสระในการทำงานแบบไร้ขีดจำกัด โดยมีวิทยากรพิเศษด้านการขายและการตลาดภาครัฐและเอกชน มาร่วมให้ความรู้ ณ ห้องประชุม ชิณ โสภณพนิช  อาคารสำนักงานใหญ่ เมื่อเร็วๆนี้

Read More

  “80 แสนซีซี x 2”- ธนาคารกรุงเทพ จำกัด (มหาชน) ร่วมกับ ศูนย์บริการโลหิตแห่งชาติ สภากาชาดไทย จัดตั้งหน่วยรับบริจาคโลหิตเคลื่อนที่ ต่อเนื่องเป็นครั้งที่3/2567 ภายใต้กิจกรรม “80 แสนซีซี x 2” ในโครงการ “80 แสนซีซี 80 ปีธนาคารกรุงเทพ” เพื่ออำนวยความสะดวกรับบริจาคโลหิตให้กับผู้บริหาร พนักงาน ลูกค้า และผู้สนใจ โอกาสนี้ นางสาวพรพิมล ตรงเที่ยงธรรม ผู้ช่วยผู้จัดการใหญ่ นางสาวเพ็ญมาศ เฮงปริญญาธร เจ้าหน้าที่บริหารระดับ Vice President  ผู้จัดการ ฝ่ายผู้จัดการใหญ่ และนางสาวชลิตา พงษ์รูป เจ้าหน้าที่บริหารระดับ Assistant Vice President วางแผนภาษี นำทีมผู้บริหารและพนักงานชาวบัวหลวง ร่วมบริจาคโลหิต เพื่อเพิ่มปริมาณโลหิตสำรองคงคลังของศูนย์บริการโลหิตแห่งชาติ สภากาชาดไทยณ ธนาคารกรุงเทพ สำนักงานใหญ่ สีลม ปัจจุบัน (ณ 17 กรกฎาคม 2567 ) โครงการ “80 แสนซีซี 80 ปีธนาคารกรุงเทพ” ได้ส่งมอบโลหิตไปแล้ว 10,934,000 ซีซี จากผู้เข้าร่วมบริจาคทั้งหมด 27,335 ราย ซึ่งมาจากความร่วมขององค์กรพันธมิตรชั้นนำ ผู้บริหาร พนักงาน และประชาชนทั่วไป ที่ตระหนักถึงความสำคัญในการเป็น “ผู้ให้” เพื่อช่วย บรรเทาปัญหาโลหิตสำรองคงคลังไม่เพียงพอต่อความต้องการช่วยเหลือชีวิตเพื่อนมนุษย์ ธนาคารกรุงเทพ และศูนย์บริการโลหิตแห่งชาติ สภากาชาดไทย ขอเชิญชวนผู้บริหาร พนักงาน ลูกค้า และผู้สนใจ เข้าร่วมกิจกรรม“80 แสนซีซี x 2” โดยสามารถร่วมบริจาคโลหิตได้ที่ ศูนย์บริการโลหิตแห่งชาติ สภากาชาดไทย ภาคบริการโลหิตแห่งชาติ 12 แห่งทั่วประเทศ หน่วยรับบริจาคโลหิตเคลื่อนที่ และโรงพยาบาลแต่ละจังหวัดที่เป็นโรงพยาบาลสาขาบริการโลหิต เพียงสแกนคิวอาร์โค้ด กรอกข้อมูล ร่วมสะสมจำนวนซีซี กับ…

Read More

สังคมไทยกำลังเผชิญความไม่พร้อมหลังวัยเกษียณ สะท้อนจากข้อมูลครัวเรือนไทยส่วนใหญ่คนที่มีรายได้มากที่สุดในครัวเรือนมีอายุเกิน 50 ปี และรายได้ต่ำ (ราว 42% ของครัวเรือนไทย) จึงต้องพึ่งพารายได้นอกครัวเรือน เช่น เงินช่วยเหลือภาครัฐ และรายได้ไม่เป็นตัวเงิน (หรือสิ่งของต่าง ๆ ที่ได้รับมา) ส่งผลให้กันชนทางการเงินต่ำหากมีเหตุฉุกเฉินหรือมีรายได้ลดลง นับเป็นความเสี่ยงสำคัญของเศรษฐกิจไทยในระยะข้างหน้า ทั้งในด้านความเปราะบางของครัวเรือนและภาระการคลัง ผลสำรวจ SCB EIC Consumer survey 2023 ชี้ว่า ในระยะสั้นปัญหาแก่ก่อนรวยของสังคมไทยยังน่าห่วง โดยพบว่า กลุ่มวัยทำงานใกล้เกษียณ (51-60 ปี) ส่วนใหญ่ยังมีสินทรัพย์น้อย โดยเฉพาะคนที่มีรายได้ต่ำกว่า 50,000 บาทต่อเดือน มีความเสี่ยงสูงที่จะประสบปัญหารายได้ไม่พอรายจ่ายหลังเกษียณ ปัจจัยสำคัญที่มีผลต่อการสะสมสินทรัพย์ของกลุ่มนี้ คือ ปัญหาภาระหนี้ โดย 56% ของครัวเรือนที่มีหนี้พบว่ามีสินทรัพย์รวมไม่ถึง 1 ล้านบาท ซึ่งถือว่ามีสัดส่วนสูง ในระยะยาว SCB EIC มองว่าปัญหาการออมนับเป็นความเสี่ยงสำคัญต่อความพร้อมหลังเกษียณ ผลสำรวจ SCB EIC Consumer survey 2023 พบว่า ในภาพรวมคนวัยทำงานที่สามารถออมเงินได้ทุกเดือนยังมีไม่ถึงครึ่ง และอีกราว 1 ใน 4 ที่ไม่สามารถออมได้เลย โดยเฉพาะกลุ่มรายได้น้อยกว่า 15,000 บาทต่อเดือน ซึ่งจะเหลือเพียง 1 ใน 10 คนเท่านั้นที่สามารถออมได้สม่ำเสมอ สาเหตุสำคัญมาจากปัญหาภาระรายจ่ายสูงแต่รายได้ต่ำ โดยเฉพาะวัยทำงานอายุ 31 – 50 ปี ที่มีปัญหาภาระหนี้มากกว่ากลุ่มอื่น เพราะได้เริ่มก่อหนี้ก้อนใหญ่เอาไว้ SCB EIC ประเมินว่า พฤติกรรมการออมจะส่งผลอย่างมากต่อปัญหาแก่ก่อนรวยของคนไทย โดยเฉพาะคนอายุมากและรายได้ต่ำ ซึ่งผลสำรวจพบว่ามีวินัยการออมน้อยที่สุด ขณะที่คนรุ่นใหม่อายุต่ำกว่า 30 ปี พบว่าสามารถเริ่มออมสม่ำเสมอได้ตั้งแต่ช่วงรายได้ต่ำกว่ากลุ่มอื่น ๆ โดยกลุ่มนี้มีพฤติกรรมเก็บก่อนใช้ได้ตั้งแต่รายได้ 30,000 บาทต่อเดือน แต่ถ้าเป็นคนรุ่นใหม่ที่มีรายได้ต่ำกว่า 30,000 บาทต่อเดือน กลับพบว่ายังขาดวินัยการออม ส่วนหนึ่งเพราะใช้จ่ายตามกระแสสังคมมาก ซึ่งจะต่างจากคนอายุมากกว่าที่ส่วนใหญ่เริ่มมีพฤติกรรมเก็บก่อนใช้ตั้งแต่มีรายได้ 50,000 บาทต่อเดือนขึ้นไป…

Read More

บล.เมย์แบงก์ (ประเทศไทย) โชว์ความสำเร็จอันยอดเยี่ยมด้วยการคว้า 4 รางวัล จาก 3 เวทีนานาชาติชั้นนำในช่วงครึ่งปีแรกของปี 2567 ตอกย้ำถึงความเป็นผู้นำการลงทุนครบวงจร การันตีความสำเร็จด้วยรางวัล จากผลงานแอปพลิเคชัน Maybank Invest  ด้วยรางวัล “Most Innovative Online Trading Platform – Thailand” จาก Global Business Outlook 2024 รางวัล “Best Invest Mobile Application Thailand 2024″ จาก Brands and Business Magazine Awards 2024 และ Best Mobile Trading App in Thailand ” จาก Alpha Southeast Asia Awards 2024 แอปพลิเคชัน Maybank Invest เป็นแพลตฟอร์มที่ออกแบบมาเพื่อนักลงทุนตัวจริง สามารถซื้อขายหุ้นต่างประเทศออนไลน์ได้ด้วยตนเอง พร้อมด้วยฟีเจอร์ที่ตอบโจทย์ครบทุกความต้องการด้านการลงทุน ค้นหาข้อมูลข้อมูลหุ้นที่สนใจได้อย่างรวดเร็ว แสดงภาพรวมดัชนีราคาหุ้นต่างประเทศ และพลอตกราฟเพื่อประเมินเทรนด์หุ้นได้แม่นยำ ตอบสนองทุกความต้องการของลูกค้า นอกจากนี้ เมย์แบงก์ยังได้รับรางวัล “Best Retail Broker in Thailand” จาก Alpha Southeast Asia Awards 2024 ซึ่งเป็นรางวัลที่สะท้อนถึงความเป็นเลิศในการบริการลูกค้าและความน่าเชื่อถือในฐานะโบรกเกอร์ชั้นนำของประเทศไทย นายอารภัฏ สังขรัตน์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บล.เมย์แบงก์ กล่าวว่า “จากการที่บริษัทฯได้รับรางวัลระดับนานาชาติถึง 4 รางวัล จาก 3 เวทีใหญ่นี้ถือเป็นเครื่องยืนยันถึงความมุ่งมั่นและความสำเร็จของเมย์แบงก์ในการพัฒนาและยกระดับการบริการเพื่อตอบสนองความต้องการของลูกค้าอย่างต่อเนื่อง เรามุ่งมั่นที่จะเป็นผู้นำในด้านนวัตกรรมด้านการลงทุน เพื่อสร้างประสบการณ์ที่ดีที่สุดให้กับลูกค้า” ความสำเร็จในครั้งนี้เป็นอีกหนึ่งก้าวสำคัญที่ยืนยันถึงความแข็งแกร่งและความเป็นเลิศของเมย์แบงก์ในเวทีระดับโลก และเป็นแรงผลักดันให้บริษัทฯ เดินหน้าสร้างสรรค์นวัตกรรมใหม่ๆ และบริการเพื่อประโยชน์สูงสุดของลูกค้าต่อไป ###

Read More

: กรุงศรีเฟิร์สช้อยส์ รุกตลาดสินเชื่อดิจิทัลต่อเนื่อง เปิดตัวผลิตภัณฑ์ใหม่ “สินเชื่อดิจิทัล เฟิร์สช้อยส์ เพย์พลัส” มอบความสะดวกยิ่งขึ้นในการบริหารการใช้จ่ายด้วย 2 บริการเด่น บริการผ่อนไม่ใช้บัตรกับเครือข่ายพันธมิตรชั้นนำกว่า 2,600 สาขาทั่วประเทศ และบริการสินเชื่อเงินสดออนไลน์ สะดวก รวดเร็ว สมัครง่ายผ่าน UCHOOSE ไม่ต้องใช้เอกสารแสดงรายได้ ทราบผลอนุมัติไว รับวงเงินสินเชื่อสูงสุด 20,000 บาท เจาะกลุ่มพนักงานบริษัท กลุ่มอาชีพอิสระ ที่ต้องการเข้าถึงสินเชื่อแต่ไม่มีเอกสารแสดงรายได้ เพิ่มโอกาสเข้าถึงบริการทางการเงินอย่างเท่าเทียม ตั้งเป้าปล่อยยอดสินเชื่อ 250 ล้านบาท ภายในสิ้นปี 2567 นายอธิป ศิลป์พจีการ กรรมการผู้จัดการใหญ่ บริษัท อยุธยา แคปปิตอล เซอร์วิสเซส จำกัด ผู้ให้บริการบัตรเครดิตและสินเชื่อส่วนบุคคลแบรนด์กรุงศรีเฟิร์สช้อยส์ กล่าวว่า “ในฐานะผู้นำในธุรกิจสินเชื่อส่วนบุคคล กรุงศรีเฟิร์สช้อยส์มุ่งพัฒนาผลิตภัณฑ์ทางการเงินที่หลากหลาย เพื่อเติมเต็มความฝันและตอบไลฟ์สไตล์ที่แตกต่างของลูกค้าอย่างต่อเนื่อง เพื่อเพิ่มโอกาสให้คนไทยเข้าถึงแหล่งเงินสินเชื่อในระบบได้มากขึ้น โดยเฉพาะกลุ่มที่ไม่มีเอกสารแสดงรายได้ กรุงศรีเฟิร์สช้อยส์จึงได้เปิดตัวผลิตภัณฑ์ใหม่‘สินเชื่อดิจิทัล เฟิร์สช้อยส์ เพย์พลัส (First Choice PayPlus) ที่ใช้วิธีพิจารณาให้สินเชื่อด้วยข้อมูลทางเลือกผ่านแพลตฟอร์มดิจิทัล สมัครง่ายผ่าน UCHOOSE ไม่ต้องใช้เอกสารแสดงรายได้ ไม่ต้องใช้คนค้ำประกัน ทราบผลอนุมัติไว รับวงเงินสินเชื่อสูงสุด 20,000 บาท ผ่อนได้นานสูงสุด 5 เดือน โดดเด่นด้วย 2 บริการในหนึ่งเดียว คือ บริการผ่อนไม่ใช้บัตร และบริการสินเชื่อเงินสดออนไลน์ผ่านฟีเจอร์ U CASH ในแอปพลิเคชัน UCHOOSE เพิ่มความสะดวกยิ่งขึ้นในการบริหารค่าใช้จ่ายเพื่อตอบไลฟ์สไตล์ที่แตกต่างได้อย่างตรงใจ พร้อมบริการที่สะดวก รวดเร็ว สามารถตรวจสอบยอด เช็คยอดชำระวงเงินคงเหลือผ่านแอป UCHOOSE ทั้งนี้ ด้วยจุดเด่นของผลิตภัณฑ์ดังกล่าว คาดว่าเฟิร์สช้อยส์ เพย์พลัส จะได้รับการตอบรับที่ดี โดยตั้งเป้าปล่อยยอดสินเชื่อ 250 ล้านบาท ภายในสิ้นปี 2567” นายเกลนริชาร์ด แนกกลิส ผู้ช่วยกรรมการผู้จัดการใหญ่ ฝ่ายงานเครือข่ายการขายและฝ่ายการตลาดธุรกิจผ่อนชำระ บริษัท อยุธยา แคปปิตอล เซอร์วิสเซส จำกัดกล่าวเสริมว่า…

Read More

  บลจ.แอสเซท พลัส มุ่งมั่นรักษาผลประโยชน์เพื่อผู้ถือหน่วยลงทุนโดยรวม ประกาศเลิกกองทุนเปิด แอสเซทพลัส ตราสารหนี้    เดลี่ พลัส หรือ ASP-DPLUS  โดยมั่นใจว่าการยุติการดำเนินงานของกองทุนในครั้งนี้ เป็นการป้องกันเพื่อไม่ให้ผู้ถือหน่วยลงทุนต้องเผชิญกับความเสี่ยงและต้นทุนการหาสภาพคล่องที่สูงขึ้น และคาดว่าจะสามารถชำระเงินคืนผู้ถือหน่วยในประมาณการสัดส่วน 40%ได้ “ภายใน 7 วันทำการ”*                 สืบเนื่องจากประเด็นเรื่องความกังวลในตราสารหนี้เอกชน ทำให้เกิดแรงเทขายอย่างรุนแรงอย่างที่ไม่เคยปรากฏมาก่อนจากผู้ถือหน่วยลงทุนโดยรวมในกองทุน ASP-DPLUS ทำให้ในระหว่างวันที่ 15 – 16 กรกฎาคม 2567 มียอดการขายคืนหน่วยลงทุนสุทธิเป็นจำนวนเกินกว่า 2 ใน 3 ของจำนวนหน่วยลงทุนที่จำหน่ายได้แล้วทั้งหมดซึ่งเข้าเงื่อนไขเลิกกองทุนที่กำหนดไว้ในโครงการจัดการกองทุนรวม บลจ.แอสเซท พลัส ได้พิจารณาแล้ว เห็นว่าสถานการณ์การลงทุนในปัจจุบันที่เผชิญกับสภาวะขาดความเชื่อมั่นในตลาดตราสารหนี้ ซึ่งส่งผลกระทบต่อสภาพคล่องในการขายตราสารหนี้โดยรวมของกองทุน รวมถึงทำให้ต้นทุนของการจัดหาสภาพคล่องเพิ่มสูงขึ้น จึงทำให้กองทุน ASP-DPLUS เผชิญกับปัญหาในการหาสภาพคล่องในราคาที่เป็นผลประโยชน์สูงสุดต่อผู้ถือหน่วยลงทุน ด้วยเหตุนี้ บลจ. แอสเซท พลัส ได้มีการพิจารณาว่า การเลิกกองทุนรวมจะเป็นประโยชน์ต่อผู้ถือหน่วยลงทุนโดยรวม ดังนั้น บลจ.แอสเซท พลัส จึงประกาศยกเลิกกองทุน ASP-DPLUS ในวันที่ 16 กรกฎาคม 2567 ที่ผ่านมา โดยการดำเนินการในครั้งนี้ เป็นการพิจารณาอย่างรอบคอบและคำนึงถึงผลประโยชน์สูงสุดของผู้ถือหน่วยลงทุนโดยรวมเป็นอันดับแรก และการยุติการดำเนินงานของกองทุน ASP-DPLUS ในครั้งนี้ เป็นการป้องกันเพื่อไม่ให้ผู้ถือหน่วยลงทุนโดยรวมต้องเผชิญกับความเสี่ยงและต้นทุนการหาสภาพคล่องที่สูงขึ้น                 เพื่อเพิ่มความเชื่อมั่นให้กับนักลงทุน ทางบลจ.แอสเซท พลัส ได้จัดทำแผนประมาณการสัดส่วนการชำระเงินคืนผู้ถือหน่วยลงทุน โดยคาดว่าผู้ลงทุนจะได้รับเงินลงทุนคืน ในสัดส่วน 40% ภายใน 7 วันทำการ (คำนวณจาก NAV ประมาณการ     ณ วันที่ 16 กรกฎาคม 2567) และจะได้รับเงินลงทุนคืนเกือบครบ 100% ภายในเดือนมกราคม 2568 (คำนวณจาก NAV ประมาณการ ณ วันที่ 16 กรกฎาคม 2567)  ตามตารางประมาณการชำระคืนเงินของผู้ถือหน่วยลงทุน กองทุน ASP-DPLUS ตามเอกสารแนบ   ทั้งนี้ทาง…

Read More

  KEY SUMMARY   การผลิตทองคำโดยรวมทั้งโลกยังมีแนวโน้มขยายตัวได้อย่างจำกัด และยังต้องจับตาหลายปัจจัย ที่ส่งผลให้ราคาทองคำมีความผันผวน และมีโอกาสปรับตัวเพิ่มขึ้นในช่วงที่เหลือของปีนี้ ในช่วง 5 ปีที่ผ่านมา การผลิตแร่ทองคำโดยรวมทั้งโลกขยายตัวโดยเฉลี่ยเพียง 0.3% ต่อปี ซึ่งการผลิตที่ลดลงอย่างต่อเนื่องของจีนเป็นแรงกดดันต่ออุปทานทองคำ นอกจากนี้ การเข้าถือครองทองคำอย่างต่อเนื่อง ของธนาคารกลางประเทศต่าง ๆ ประกอบกับ SCB EIC ประเมินว่า Fed มีแนวโน้มปรับลดอัตราดอกเบี้ยนโยบายในช่วงไตรมาส 3-4 ของปีนี้ โดยผลตอบแทนจากอัตราดอกเบี้ยที่ลดลง จะส่งผลให้นักลงทุนหันมาลงทุนในทองคำมากขึ้น จะส่งผลให้ราคาทองคำโลกมีโอกาสปรับตัวเพิ่มขึ้นในช่วงที่เหลือของปี การสร้างมูลค่าเพิ่มของธุรกิจทองคำของไทยยังจำกัดอยู่ที่การผลิตสินค้าขั้นปลาย  ปัจจุบันโรงงานสกัดทองคำในไทยแม้จะมีความสามารถสกัดทองคำให้มีความบริสุทธิ์ได้ที่ 99.99% แต่ยังมีทองคำบางส่วนถูกส่งออกไปยังโรงงานสกัดทองคำในต่างประเทศ โดยเฉพาะสวิตเซอร์แลนด์ ที่สามารถสกัดทองคำให้มี ความบริสุทธิ์ตามมาตรฐานสากล หลังจากนั้นจึงนำเข้าทองคำบริสุทธิ์กลับเข้ามาผลิตที่ไทยเป็นสินค้าขั้นปลาย ส่งผลให้ผู้ประกอบการมีต้นทุนที่ค่อนข้างสูง การสร้างมูลค่าเพิ่มของธุรกิจทองคำของไทยจึงยังจำกัดอยู่ที่การผลิตสินค้าขั้นปลาย เช่น เครื่องประดับที่มีส่วนประกอบของทองคำ ทองคำแท่ง เหรียญทองคำ ผู้ประกอบการธุรกิจทองคำยังเผชิญกับความท้าทายด้านต้นทุน จากราคาทองคำที่พุ่งสูงขึ้นมาก แต่ความนิยมถือครองทองคำของคนไทยยังเป็นโอกาส –       แม้ว่ารายได้ของธุรกิจค้าทองในช่วงปี 2019-2022 โดยรวมจะขยายตัวได้ต่อเนื่อง โดยเฉลี่ยอยู่ที่ 17% ต่อปี แต่ผู้ค้าทองต้องเผชิญกับความท้าทายด้านต้นทุนขายที่ปรับตัวสูงขึ้น จนส่งผลให้อัตรากำไรต่ำมาก อย่างไรก็ดี ในภาพรวมธุรกิจค้าทองยังมีสภาพคล่องในการประกอบธุรกิจที่สูง ซึ่งปริมาณการซื้อขายทองคำที่หมุนเวียนในตลาด ทั้งจากผู้บริโภค และนักลงทุนยังเป็นปัจจัยสำคัญที่ขับเคลื่อนการดำเนินธุรกิจค้าทอง –    ความนิยมถือครองทองคำของคนไทย ทั้งเครื่องประดับ และการลงทุน ยังเป็นโอกาสของธุรกิจการผลิต และธุรกิจค้าทอง โดย SCB EIC ประเมินว่า ตลาดทองคำในประเทศที่ถือครองโดยผู้บริโภคในปี 2023 มีมูลค่าแตะระดับ 91,000 ล้านบาท ปรับตัวสูงขึ้นจากราว 66,000 ล้านบาทในปี 2021 จากราคาทองคำโดยเฉลี่ยที่ปรับตัวสูงขึ้น ปริมาณการถือครองทองคำที่ขยายตัวอย่างต่อเนื่อง รวมถึงการถือครองทองคำต่อประชากรของไทยที่ปรับตัวสูงขึ้น การสร้างมูลค่าเพิ่มให้กับสินค้า เช่น การออกแบบลวดลาย รวมถึงการขยายฐานลูกค้าไปยังกลุ่มคนรุ่นใหม่ที่มีกำลังซื้อ เป็นกลยุทธ์สำคัญสำหรับผู้ผลิต และผู้ค้าทอง –    ค่าใช้จ่ายในการดำเนินการส่งออก เพื่อสกัดทองคำให้มีความบริสุทธิ์ตามมาตรฐานสากล และนำเข้าทองคำกลับมาที่ไทย เป็นส่วนหนึ่งของต้นทุนการผลิตสินค้าทองคำขั้นปลาย อีกทั้ง ต้นทุนยังมีความผันผวนไปตามราคาทองคำในตลาดโลก และค่าเงินบาท ที่ต้องอาศัยประสบการณ์ในการบริหารจัดการต้นทุนราคาทองคำ และสต็อกวัตถุดิบทองคำ รวมถึงบริหารจัดการความเสี่ยงด้านอัตราแลกเปลี่ยนอีกด้วย…

Read More

กลุ่มทิสโก้ โดย นางสาววิภา เมตตาวิหารี (ที่ 8 จากซ้าย) ผู้อำนวยการฝ่ายสินเชื่ออเนกประสงค์และงานขาย ธนาคารทิสโก้ จำกัด (มหาชน) และ นางสาวดวงใจ อังศุวิพุธ (ที่ 10 จากซ้าย) ผู้จัดการฝ่ายการตลาดอาวุโส-กองทุนสำรองเลี้ยงชีพทีม 3 บลจ.ทิสโก้ จำกัด ร่วมเป็นวิทยากรในงานสัมมนาหัวข้อ “การบริหารการออม และการบริหารจัดการหนี้ส่วนบุคคล” จัดโดย บริษัท ไทยโตชิบาอุตสาหกรรม จำกัด เพื่อสร้างความตระหนักและส่งเสริมทักษะความรู้ทางการเงิน การลงทุน และการบริหารจัดการหนี้ที่ดี รวมไปถึงการออมผ่านกองทุนสำรองเลี้ยงชีพ ซึ่งสมาชิกสามารถเลือกทางเลือกการลงทุนให้เหมาะสมกับตนเองได้ แก่เจ้าหน้าที่ระดับหัวหน้างาน  ซึ่งจะกลายเป็น Trainer ในการให้คำปรึกษาแก่พนักงานในบริษัทต่อไป โดยมี คุณสุวดี ชีวะก้องเกียรติ (ที่ 5 จากซ้าย) ผู้จัดการอาวุโสฝ่ายบัญชีและการเงินและ คุณบุษกร พัฒนพาณิชย์ (ที่ 9 จากซ้าย) ผู้ช่วยผู้จัดการอาวุโสฝ่ายทรัพยากรบุคคลบริษัท ไทยโตชิบาอุตสาหกรรม จำกัด ให้การต้อนรับ เมื่อเร็ว ๆ นี้ การให้ความรู้ทางการเงินถือเป็นหนึ่งในพันธกิจสำคัญที่ กลุ่มทิสโก้ ดำเนินการมาอย่างต่อเนื่อง เพื่อเสริมสร้างทักษะทางการเงินที่ดีให้แก่ลูกค้า คู่ค้า และประชาชนในกลุ่มต่าง ๆ ด้วยความเชื่อที่ว่า การจัดการทางการเงินที่ดีย่อมนำไปสู่การมีชีวิตที่ดี และการมีแผนทางการเงินที่สมดุลจะช่วยลดความเสี่ยงในการดำรงชีวิตและสร้างความมั่นคงให้กับครัวเรือนได้อย่างยั่งยืน เพื่อชีวิตที่ดีในวันที่เกษียณ

Read More

นายเอกภัทร ปัญญาแก้ว ประธานเจ้าหน้าที่บริหารบริษัท เอโซลาร์ คอร์ปอเรชั่น จำกัด และ นางสยุมรัตน์ มาระเนตร ผู้ช่วยกรรมการผู้จัดการใหญ่ ธุรกิจเอสเอ็มอี ธนาคารยูโอบี ประเทศไทย  ธนาคารยูโอบี ประเทศไทย ผนึกความร่วมมือกับ บริษัท เอโซลาร์ คอร์ปอเรชั่น จำกัด ปล่อยสินเชื่อให้เอสเอ็มอีเปลี่ยนมาใช้พลังงานหมุนเวียนจากการติดตั้งโซลาร์เซลล์ เพื่อสนับสนุนผู้ประกอบการในการลดต้นทุนด้านพลังงาน และเปลี่ยนผ่านการดำเนินธุรกิจสู่ความยั่งยืน ความร่วมมือนี้ครั้งนี้เป็นการต่อยอดความสำเร็จจากโครงการ U-Solar ที่ธนาคารทำหน้าที่เป็นเสมือนตัวกลางเชื่อมต่อทุกภาคส่วนตลอดทั้ง Supply Chain ของอุตสาหกรรมพลังงานแสงอาทิตย์ เพื่ออำนวยความสะดวกให้แก่ธุรกิจและผู้บริโภคทั่วไปให้เปลี่ยนมาใช้พลังงานจากแสงอาทิตย์มากขึ้น โดยในปีนี้ธนาคารยูโอบีได้แต่งตั้งให้ บริษัท เอโซลาร์ คอร์ปอเรชั่น ซึ่งเป็นผู้รับเหมาออกแบบติดตั้ง (EPC Contractor) รายล่าสุดที่เข้าร่วมโครงการเพื่อช่วยเหลือผู้ประกอบการธุรกิจเอสเอ็มอีที่ต้องการปรับเปลี่ยนมาใช้พลังงานแสงอาทิตย์ ทั้งในเรื่องการติดตั้งและควบคุมระบบ เรื่องการจัดหาอุปกรณ์เพื่อติดตั้งระบบ การบำรุงรักษา และแพคเกจบริการหลังการขาย นางสยุมรัตน์ มาระเนตร ผู้ช่วยกรรมการผู้จัดการใหญ่ ธุรกิจเอสเอ็มอี ธนาคารยูโอบี ประเทศไทย กล่าวว่า “ปัจจุบันภาคธุรกิจขนาดกลางและขนาดเล็ก (เอสเอ็มอี) เริ่มให้ความสำคัญในการปรับตัวเพื่อนำพาธุรกิจสู่ความยั่งยืนและเป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อมมากขึ้น โดยหนึ่งในแนวทางที่ธุรกิจเอสเอ็มอีให้ความสนใจมากที่สุด คือการเพิ่มประสิทธิภาพการใช้พลังงานและการผลิตไฟฟ้าใช้เองจากพลังงานหมุนเวียน เพราะธุรกิจจะได้รับผลประโยชน์โดยตรงจากต้นทุนทางพลังงานที่ลดลง สอดคล้องกับรายงานการศึกษา UOB Business Outlook Study 2024 ที่พบกว่าร้อยละ 46 ของผู้ประกอบการธุรกิจเอสเอ็มอีมีการเปลี่ยนมาใช้พลังงานหมุนเวียนในการดำเนินธุรกิจ และร้อยละ 43  มีแผนจะนำพลังงานหมุนเวียนมาใช้ ดังนั้นความร่วมมือกับ บริษัท เอโซลาร์ คอร์ปอเรชั่น สะท้อนให้เห็นถึงความมุ่งมั่นของธนาคารที่พร้อมเป็นตัวกลางเพื่อส่งเสริมให้การเปลี่ยนมาใช้พลังงานสะอาดของภาคธุรกิจเอสเอ็มอีเป็นเรื่องที่ง่ายและสะดวกมากยิ่งขึ้น” ธนาคารยูโอบีสนับสนุนเงินทุนเพื่อรองรับค่าใช้จ่ายในการติดตั้งระบบพลังงานแสงอาทิตย์ และการบำรุงรักษาผ่านสินเชื่อธุรกิจของธนาคาร ในอัตราดอกเบี้ยพิเศษ เมื่อมีใบเสนอราคาค่าติดตั้งและบำรุงรักษาจากบริษัท เอโซลาร์ คอร์ปอเรชั่น โดยผู้ประกอบการสามารถขอวงเงินโดยไม่ต้องมีหลักทรัพย์ค้ำประกันวงเงิน นายเอกภัทร ปัญญาแก้ว ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท เอโซลาร์ คอร์ปอเรชั่น กล่าวว่า “ในฐานะผู้นำตลาดและผู้เชี่ยวชาญด้านโซลาร์เซลล์มากกว่า 10 ปี เรายินดีเป็นอย่างยิ่งที่ได้ร่วมมือกับธนาคารยูโอบี ประเทศไทย ในการสนับสนุนธุรกิจเอสเอ็มอีเปลี่ยนมาใช้พลังงานหมุนเวียน บริษัทพร้อมนำเสนอโซลูชันแบบครบวงจรให้แก่ธุรกิจเอสเอ็มอี ตั้งแต่การเข้าไปประเมินหน้างานโดยไม่มีค่าใช้จ่าย ให้คำแนะนำ คำนวณความเหมาะสมของขนาดในการติดตั้ง จนไปสู่การติดตั้งแผงและอุปกรณ์ที่มีคุณภาพ ช่วยดำเนินการแทนลูกค้าในการยืนใบขออนุญาตกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง และบริการหลังการขายจากทีมงานผู้เชี่ยวชาญและมีศูนย์บริการทั่วทุกภูมิภาค เพื่อส่งมอบประสบการณ์การใช้โซลาร์เซลล์ที่มีคุณภาพให้แก่ธุรกิจเอสเอ็มอีที่สนใจเปลี่ยนโมเดลการดำเนินธุรกิจไปสู่ความยั่งยืน”…

Read More

เอไอเอ ประเทศไทย นำโดย นายนิคฮิล แอดวานี ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร ในฐานะประธานกรรมการจัดงานวันประกันชีวิตแห่งชาติ ครั้งที่ 23 (พ.ศ.2567) นำทีมผู้บริหาร พนักงาน และครอบครัวพนักงานที่มีจิตอาสากว่า 160 คน ร่วมปลูกป่าชายเลน ใน “กิจกรรมการปลูกป่าชายเลน เนื่องในวันประกันชีวิตแห่งชาติ ครั้งที่ 23 ประจำปี 2567” โดยได้รับเกียรติจาก นายชูฉัตร ประมูลผล เลขาธิการคณะกรรมการกำกับและส่งเสริมการประกอบธุรกิจประกันภัย (คปภ.) ให้เกียรติเป็นประธานเปิดงาน โดยในปีนี้งานวันประกันชีวิตแห่งชาติ ได้จัดขึ้นเป็นครั้งที่ 23 จึงถือโอกาสนี้เป็นวาระพิเศษให้มีการจัดกิจกรรมการปลูกป่าชายเลนขึ้นเป็นครั้งแรก เพื่อสร้างความตระหนักรู้ให้แก่บุคลากรในธุรกิจประกันชีวิตได้เห็นถึงความสำคัญของการรักษาสิ่งแวดล้อมของระบบนิเวศทั้งทางบกและทางน้ำ ทั้งนี้ กิจกรรมปลูกป่าชายเลนยังสอดคล้องกับนโยบายด้านความยั่งยืน (ESG) ของเอไอเอ และความมุ่งมั่นที่จะสนับสนุนให้ผู้คนกว่าพันล้านคนมีสุขภาพและชีวิตที่ดีขึ้นตามคำมั่นสัญญา ‘Healthier, Longer, Better Lives’ ผ่านกิจกรรมสาธารณประโยชน์ต่าง ๆ โดยกิจกรรมปลูกป่าชายเลนจัดขึ้น ณ กองสถานพักผ่อน กรมพลาธิการทหารบก สถานตากอากาศบางปู จ.สมุทรปราการ

Read More