Close Menu
  • Home
  • Banking
  • Insurance
  • Finance
  • Mutual Fund
  • Next Gen
  • Magazine
  • Insight
  • Global Move
  • Bookmark
  • Log-In
YouTube
ข่าวการเงิน ธนาคาร และ ประกันภัย
  • Home
  • Banking
  • Insurance
  • Finance
  • Mutual Fund
  • Next Gen
  • Magazine
  • Insight
  • Global Move
  • Bookmark
  • Log-In
Login
YouTube Facebook
ข่าวการเงิน ธนาคาร และ ประกันภัย
Facebook YouTube

เมย์แบงก์ จัดเสวนาระดับประเทศ “Thailand Outlook : Where Policy Meets Progress”

staffBy staffNovember 29, 2024

บริษัท หลักทรัพย์ เมย์แบงก์ (ประเทศไทย) จำกัด (มหาชน) ได้จัดงานเสวนาครั้งสำคัญ “Thailand Outlook: Where Policy Meets Progress” ณ โรงแรมอินเตอร์คอนติเนนตัล กรุงเทพฯ โดยมีเป้าหมายในการสร้างพื้นที่แห่งการแลกเปลี่ยนความรู้และมุมมองทางเศรษฐกิจระหว่างผู้กำหนดนโยบาย นักธุรกิจ และนักลงทุน งานนี้ได้รับเกียรติจาก นายพิชัย ชุณหวชิร รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง มาเป็นประธานในพิธีและร่วมเสวนา พร้อมด้วยนักลงทุนสถาบันชั้นนำ 26 แห่ง และนักลงทุนรายย่อยจากทั่วประเทศ ซึ่งมีสินทรัพย์ในการบริหารรวมกันกว่า 6 ล้านล้านบาท

นายอารภัฏ สังขรัตน์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัทหลักทรัพย์ เมย์แบงก์ (ประเทศไทย) จำกัด (มหาชน) กล่าวว่า “ท่ามกลางความท้าทายทางเศรษฐกิจที่ประเทศไทยกำลังเผชิญ เมย์แบงก์ตระหนักถึงความสำคัญในการเป็นสื่อกลางระหว่างภาครัฐและภาคการลงทุน เพื่อสร้างความเข้าใจที่ชัดเจนเกี่ยวกับทิศทางนโยบายและโอกาสทางเศรษฐกิจ งานเสวนา “Thailand Outlook: Where Policy Meets Progress” มีเป้าหมายเพื่อเชื่อมโยงผู้กำหนดนโยบายและนักลงทุน ให้เข้าใจถึงศักยภาพและโอกาสของเศรษฐกิจไทยในยุคเปลี่ยนผ่าน และเป็นโอกาสที่นักลงทุนจะได้แลกเปลี่ยนความคิดเห็นกับผู้บริหารประเทศระดับสูงเป็นครั้งแรก โดยมีนักลงทุนทั้งจากบริษัทจัดการลงทุนชั้นนำถึง 26 แห่ง พร้อมนักลงทุนรายย่อยจากทั่วประเทศที่มีสินทรัพย์ภายใต้การบริหารรวมกว่า 6 ล้านล้านบาท เข้าร่วมงาน เรามุ่งหวังให้เวทีนี้เป็นจุดเริ่มต้นของการเสริมสร้างความมั่นใจในทิศทางการลงทุน โดยเฉพาะในสถานการณ์ที่มีความท้าทายทางเศรษฐกิจ อีกทั้งงานนี้ยังแสดงให้เห็นถึงพลังของชุมชนการลงทุนที่พร้อมขับเคลื่อนประเทศไทยให้ก้าวหน้า”

นายพิชัย ชุณหวชิร รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง ได้ชี้ถึงสถานการณ์เศรษฐกิจไทยในปัจจุบัน โดยเน้นถึงความสำคัญของการแก้ไขปัญหาหนี้ครัวเรือนซึ่งอยู่ในระดับ 91% ของ GDP หนึ่งในตัวเลขที่สูงที่สุดในภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ ปัญหานี้ส่งผลกระทบต่อ SMEs และความสามารถในการเข้าถึงสินเชื่อของประชาชน หนี้ครัวเรือนที่อยู่ในระดับสูงทำให้การบริโภคและการลงทุนของประชาชนมีข้อจำกัด การฟื้นฟูเศรษฐกิจจึงต้องเริ่มต้นจากการแก้ไขปัญหานี้ และเพิ่มความสามารถของภาครัฐในการลงทุนเชิงรุก นายพิชัยยังเน้นถึงบทบาทสำคัญของ GDP ในการช่วยลดสัดส่วนหนี้ครัวเรือน และกล่าวถึงมาตรการที่รัฐบาลกำลังดำเนินการ ได้แก่ การแจกเงินผ่านดิจิทัลวอลเล็ต: โครงการมูลค่า 400,000 ล้านบาท หรือประมาณ 2% ของ GDP ได้เริ่มดำเนินการและจ่ายเงินให้กับผู้ลงทะเบียน 14.5 ล้านคนในเฟสแรก พร้อมแผนต่อยอดช่วยเหลือกลุ่มผู้สูงอายุ การปรับโครงสร้างหนี้: เพื่อช่วยเหลือลูกหนี้ NPL โดยเฉพาะกลุ่มที่มีศักยภาพในการฟื้นตัว เช่น การยกเว้นดอกเบี้ยเป็นระยะเวลา 3 ปี ครอบคลุมมูลหนี้กว่า 1 ล้านล้านบาท การเปิดรับการลงทุน: โดยมุ่งเน้นในอุตสาหกรรมยุคใหม่ เช่น เทคโนโลยีดิจิทัล ยานยนต์ไฟฟ้า และแบตเตอรี่

นอกจากการนำเสนอนโยบายของรัฐบาล งานเสวนานี้ยังได้สร้างพื้นที่สำหรับนักลงทุนในการแลกเปลี่ยนความคิดเห็นเกี่ยวกับศักยภาพของประเทศไทย นายพิชัยได้ย้ำว่า ประเทศไทยยังคงเป็นเป้าหมายสำคัญสำหรับนักลงทุนในภูมิภาค เนื่องจากความสามารถในการพัฒนาบุคลากรไทย ความพร้อมด้านบุคลากรและทรัพยากรธรรมชาติของไทย ยังคงเป็นจุดเด่นที่นักลงทุนต่างประเทศมองหา นอกจากนี้ การพัฒนาพลังงานทางเลือก เช่น พลังงานสีเขียวในพื้นที่ EEC จะช่วยเพิ่มความมั่นใจในศักยภาพของประเทศไทยในระยะยาว อีกทั้งรัฐบาลยังตั้งเป้าหมายให้ประเทศไทยเป็นศูนย์กลางการวิจัยและพัฒนา (R&D) ด้วยเงื่อนไขพิเศษที่ช่วยส่งเสริมการจ้างงานบุคลากรคุณภาพสูง เช่น การกำหนดค่าตอบแทนสูงกว่าปกติถึง 5 เท่า เพื่อดึงดูดบุคลากรชั้นนำ

นายพิชัยเน้นย้ำถึงบทบาทสำคัญของโครงสร้างพื้นฐานที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม โดยเฉพาะโครงการในเขตพัฒนาพิเศษภาคตะวันออก (EEC) เช่น รถไฟความเร็วสูงเชื่อม 3 สนามบิน และการพัฒนาพลังงานทางเลือกจาก สปป.ลาว ซึ่งช่วยสนับสนุนอุตสาหกรรมชีวภาพ (Biotechnology) และอุตสาหกรรมรีไซเคิล

ในส่วนการลดค่าใช้จ่ายของประชาชน นายพิชัยมองถึงการพัฒนาแหล่งปิโตรเลียมในพื้นที่ทับซ้อนไทย-กัมพูชา (Overlapping Claims Areas–OCA) ที่ประเมินกันว่าเป็นแหล่งก๊าซธรรมชาติขนาดใหญ่ ที่มีปริมาณมากพอที่จะใช้ไปได้ในระยะยาว

“ประเทศไทยมีความต้องการใช้ก๊าซธรรมชาติอยู่ที่ 4,800 ล้านลูกบาศก์ฟุตต่อวัน ปัจจุบันอ่าวไทยมีปริมาณก๊าซธรรมชาติผลิตอยู่ได้ประมาณ 2,200 ล้าน ลูกบาศก์ฟุตต่อวัน ส่วนที่เหลือต้องนำเข้าจากเมียนมาประมาณ 600 ล้านลูกบาศก์ฟุตต่อวัน ซึ่งในอนาคตอีกไม่เกิน 2 ปีครึ่ง ก็จะไม่สามารถนำเข้าได้แล้ว OCA จึงถือเป็นแหล่งสำคัญ เพราะมีปริมาณก๊าซพอ ๆ กับที่มีในอ่าวไทย ถ้าสามารถเจรจาได้ข้อยุติ และสามารถผลิตก๊าซขึ้นมาใช้ได้อีกครั้งในช่วง 25 ปี ก็จะส่งผลให้ค่าไฟฟ้าปรับตัวลดลงมาที่ระดับ 3.25 บาทต่อหน่วยได้”

อีกประเด็นที่น่าสนใจ คือ มาตรการรถไฟฟ้า 20 บาทตลอดสาย ซึ่งนายพิชัยกล่าวถึงแนวคิดในการจัดตั้งกองทุนโครงสร้างพื้นฐาน (Infrastructure Fund) ขึ้นมา เพื่อบริหารจัดการค่าโดยสารรถไฟฟ้าที่รัฐบาลดูแลอยู่ ขณะนี้ งบประมาณที่รัฐบาลใช้ในการสนับสนุนรถไฟฟ้าทุกสายอยู่ที่ประมาณ 900,000 ล้านบาท หรือคิดเป็น 5% ของ GDP ในขณะที่ภาคเอกชนมีค่าใช้จ่ายอีกกว่า 200,000 ล้านบาท รวมต้นทุนทั้งหมดอยู่ที่ 1.2 ล้านล้านบาท ทั้งนี้ไม่รวมโครงการรถไฟฟ้าสายสีส้มที่มีมูลค่าประมาณ 200,000 ล้านบาทด้วย ต้นทุนที่สูงดังกล่าวส่งผลให้ต้องตั้งอัตราค่าโดยสารในระดับที่สูงเช่นกัน แต่หากรัฐบาลเป็นเจ้าของและดูแลโครงการทั้งหมด จะทำให้สามารถตั้งราคาค่าโดยสารได้ตามที่ต้องการ โดยงบประมาณอีก 200,000 ล้านบาทเชื่อว่าสามารถจัดหาได้จากการตั้งกองทุนโครงสร้างพื้นฐาน (Infrastructure Fund) หรือใช้แนวทางการนำเงินออมภายในประเทศมาช่วยสนับสนุนการดำเนินโครงการ

ในด้านเศรษฐกิจดิจิทัล รัฐบาลกำลังส่งเสริมการลงทุนใน Data Center, Cloud Service และ AI ซึ่งเป็นอุตสาหกรรมที่สอดคล้องกับเป้าหมายการเปลี่ยนผ่านทางเทคโนโลยี ซึ่งประเทศไทยจำเป็นต้องสร้างความได้เปรียบในการแข่งขัน โดยใช้ประโยชน์จากเทคโนโลยีดิจิทัลและพลังงานสะอาด เพื่อเตรียมพร้อมสำหรับอนาคตที่ยั่งยืน

“งานเสวนา “Thailand Outlook: Where Policy Meets Progress” สะท้อนถึงบทบาทสำคัญของ บริษัทหลักทรัพย์ เมย์แบงก์ (ประเทศไทย) จำกัด (มหาชน) ในการสร้างความเชื่อมั่นแก่ชุมชนการลงทุน พร้อมทั้งเชื่อมโยงผู้กำหนดนโยบายกับนักลงทุน เรามุ่งมั่นที่จะสร้างเวทีสำหรับการสนทนาเชิงลึก เพื่อช่วยให้นักลงทุนสามารถตัดสินใจในทิศทางที่สอดคล้องกับอนาคตของประเทศไทย บทบาทของเราไม่ได้หยุดเพียงแค่การเป็นผู้นำด้านการลงทุน แต่ยังรวมถึงการเป็นพันธมิตรสำคัญในการพัฒนาเศรษฐกิจไทยอย่างยั่งยืน” นายอารภัฏ กล่าวสรุป

Banking and insurance Bankingandinsurance บริษัทหลักทรัพย์ เมย์แบงก์ (ประเทศไทย) จำกัด (มหาชน)
Share. Facebook Twitter Pinterest LinkedIn Tumblr Email WhatsApp Copy Link
Previous Articleวิริยะประกันภัย สนับสนุนระบบเตือนภัยช้างป่า บ้านอ่างเสือดำ จ.ฉะเชิงเทรา
Next Article ทีทีบี จับมือ พรูเด็นเชียล ประเทศไทย เปิดตัว ทีทีบี อี แท็กซ์ เซฟเวอร์ 10/4

Related Posts

โค้งสุดท้ายโปรโมชันงาน Welfare Marketing Beyond 2025 สนใจจองสิทธิ์ผ่าน Line GHB Buddy ได้ถึงวันที่ 14 มิ.ย. 68

June 14, 2025

ธ.ทิสโก้ชี้ ! จังหวะนี้ต้องลงทุน Global Bond เพิ่มโอกาสสร้างกำไร 8% ช่วงเศรษฐกิจถดถอย – ไม่หวั่นเจรจาภาษีสหรัฐฯ

June 12, 2025

Orbix CUSTODIAN ยกระดับความปลอดภัยด้านการบริหารจัดการกุญแจเข้ารหัสด้วยเทคโนโลยี Hardware Security Module (HSM) ของไอบีเอ็ม

June 12, 2025
Contact Us

โทร : 0816229144
อีเมล์ : mooprawit@hotmail.com

Social online
Facebook YouTube

Type above and press Enter to search. Press Esc to cancel.

Sign In or Register

Welcome Back!

Login to your account below.

Lost password?