Close Menu
  • Home
  • Banking
  • Insurance
  • Finance
  • Mutual Fund
  • Next Gen
  • Magazine
  • Insight
  • Global Move
  • Bookmark
  • Log-In
YouTube
ข่าวการเงิน ธนาคาร และ ประกันภัย
  • Home
  • Banking
  • Insurance
  • Finance
  • Mutual Fund
  • Next Gen
  • Magazine
  • Insight
  • Global Move
  • Bookmark
  • Log-In
Login
YouTube Facebook
ข่าวการเงิน ธนาคาร และ ประกันภัย
Facebook YouTube

โศกนาฏกรรม “เจอจ่ายจบ” วิกฤตศรัทธาต่อธุรกิจประกันวินาศภัยไทย

staffBy staffFebruary 26, 2022

ในช่วงปลายปี 2562 มีข่าวการแพร่ระบาดของไวรัสสายพันธุ์ใหม่ในเมืองอู่ฮั่น มณฑลหูเป่ย ประเทศจีน หลังจากนั้นไวรัสดังกล่าวภายใต้ชื่อ “โควิด-19” ก็แพร่กระจายไปอย่างรวดเร็ว รวมทั้งประเทศไทย ในช่วงนั้นคนไทยต่างก็ตื่นตระหนกกับการระบาดของโควิด-19 ท่ามกลางความหวาดกลัวนั้น บริษัทประกันวินาศภัยของไทยมองเห็นโอกาส จึงเสนอผลิตภัณฑ์ประกันภัยแบบใหม่เพื่อรองรับความเสี่ยงจากการติดเชื้อโควิด-19 โดยเรียกผลิตภัณฑ์ประเภทนี้ว่ากรมธรรม์ประกันภัยโควิด-19 แบบ “เจอจ่ายจบ” หมายความว่าหากผู้ถือกรมธรรม์ตรวจพบและมีเอกสารยืนยันว่าติดเชื้อโควิด-19 ก็จะได้รับเงินค่าสินไหมทดแทนเลยทันที เงื่อนไขที่ไม่ซับซ้อนสมกับชื่อ “เจอจ่ายจบ” บวกกับความต้องการสร้างความอุ่นใจให้กับอนาคตที่ไม่แน่นอน ทำให้ยอดขายผลิตภัณฑ์ประกันภัยประเภทนี้เติบโตแบบก้าวกระโดด

จากข้อมูลงบการเงินธุรกิจประกันวินาศภัยไทยทั้งระบบในปี 2563 นับตั้งแต่มีการออกผลิตภัณฑ์ประกันภัยโควิด-19 ตั้งแต่ต้นปี 2563 เบี้ยประกันภัยรับตรงเติบโต 3.51% จากปี 2562 แต่พบว่ากลุ่มประกันภัยสุขภาพเติบโตสูงถึง 42.32% ซึ่งประกันภัยโควิด-19 อยู่ภายใต้หมวดประกันภัยสุขภาพ1

กล่าวได้ว่าในปี 2563 ผลิตภัณฑ์ประกันภัยโควิด-19 กลายเป็น “พระเอก” ที่สร้างรายได้ให้แก่ภาคธุรกิจประกันวินาศภัยอย่างเป็นกอบเป็นกำ ช่องทางขายแบบออนไลน์ที่ง่ายและสะดวกยิ่งทำให้การซื้อประกันทำได้ง่ายขึ้น ขณะที่การแพร่ระบาดอยู่ในระดับที่บริหารจัดการได้ภายใต้การควบคุมอย่างเข้มงวดของภาครัฐ ทำให้อัตราการจ่ายค่าสินไหมทดแทนยังไม่สูงเมื่อเทียบกับเบี้ยประกันภัยที่ได้รับ

อย่างไรก็ตาม หลังเดือนเมษายน 2564 จำนวนตัวเลขผู้ติดเชื้อกลับพุ่งทะยานเพิ่มขึ้นอย่างก้าวกระโดดจากการระบาดของไวรัสสายพันธุ์อัลฟ่า ทำให้จำนวนผู้ติดเชื้อที่มีเพียง 2,912 รายในเดือนมีนาคม 2564 เพิ่มเป็น 36,292 รายในเดือนเมษายน 2564 และพุ่งทะยานถึง 94,575 รายในเดือนพฤษภาคม 25642  จำนวนผู้ติดเชื้อที่เพิ่มขึ้นเช่นนี้ย่อมส่งผลให้จำนวนค่าสินไหมทดแทนเพิ่มขึ้นเป็นเงาตามตัว

บริษัท สินมั่นคงประกันภัย จำกัด (มหาชน) เป็นบริษัทประกันวินาศภัยรายแรกที่ “ออกอาการ” โดยเมื่อวันที่ 16 กรกฎาคม 2564 ได้ออกหนังสือถึงผู้ถือกรมธรรม์ระบุว่า เนื่องจากการระบาดของโควิด-19 ทวีความรุนแรงอย่างต่อเนื่อง และมีจำนวนผู้ติดเชื้อรายใหม่เพิ่มขึ้นในอัตราที่สูง ส่งผลให้บริษัทฯ ต้องบริหารความเสี่ยงให้มีประสิทธิภาพ และจำเป็นต้องใช้สิทธิ “บอกเลิก” กรมธรรม์ประกันภัยการติดเชื้อโควิด-19 ของบริษัทฯ

หลังจากที่มีข่าวการบอกเลิกกรมธรรม์ของ บมจ.สินมั่นคงประกันภัย เกิดกระแสสังคมที่แสดงความไม่พอใจกับการตัดสินใจดังกล่าวอย่างรุนแรง ทางสำนักงานคณะกรรมการกำกับและส่งเสริมการประกอบธุรกิจประกันภัย (คปภ.) ได้ประชุมด่วนและออกคำสั่งห้ามไม่ให้ บมจ.สินมั่นคงประกันภัย บอกเลิกกรมธรรม์ และออกคำสั่งนายทะเบียนที่ 38/2564 ยกเลิกเงื่อนไขการใช้สิทธิ์บอกเลิกกรมธรรม์ประกันภัยโควิด-19 โดยบริษัทประกันภัย และให้มีผลย้อนหลังก่อนวันที่ออกคำสั่งนี้ แต่สามารถบอกเลิกได้เฉพาะกรณีพบหลักฐานชัดเจนว่าผู้เอาประกันภัยได้ทุจริตหรือฉ้อฉลเพื่อให้ตนเองหรือผู้อื่นได้รับประโยชน์จากการทำประกันภัย

ดร.สุทธิพล ทวีชัยการ เลขาธิการคณะกรรมการกำกับและส่งเสริมการประกอบธุรกิจประกันภัย (คปภ.) กล่าวว่า คปภ.ไม่เห็นด้วยกับกรณีที่ บมจ.สินมั่นคงประกันภัย แจ้งบอกเลิกกรมธรรม์ประกันภัยการติดเชื้อโควิด-19 แบบ “เจอจ่ายจบ” เพราะถือว่าเป็นการเอาเปรียบประชาชนผู้ทำประกันกับสินมั่นคงไปก่อนหน้านี้ และการกระทำดังกล่าวทาง บมจ.สินมั่นคงประกันภัยไม่เคยแจ้ง คปภ. มาก่อน ถือว่าเป็นการกระทำที่ไม่ถูกต้อง3

ภายหลังทาง บมจ.สินมั่นคงประกันภัย ยอมปฏิบัติตามคำสั่งสำนักงาน คปภ. จ่ายค่าสินไหมที่มีเข้ามาอย่างต่อเนื่อง ส่งผลให้ผลประกอบการ 9 เดือน (มกราคม-กันยายน 2564) มีผลขาดทุนสุทธิ 3,845.58 ล้านบาท เพียงแค่ไตรมาส 3/2564 มูลค่ายอดจ่ายสินไหมสูงถึง 6,815.69 ล้านบาท ซึ่งมาจากกรมธรรม์ “เจอจ่ายจบ” ประมาณ 6,002.91 ล้านบาท4

หลังจากเกิดกรณี บมจ.สินมั่นคงประกันภัย ประชาชนจำนวนไม่น้อยเกิดความไม่มั่นใจถึงความแข็งแกร่งทางด้านการเงินของบริษัทประกันภัย โดยเฉพาะบริษัทประกันภัยที่ขายกรมธรรม์ประกันภัยโควิด-19 และเริ่มมีข่าวออกมาว่ามีบริษัทประกันภัยบางแห่งมีปัญหาการเงิน จ่ายค่าสินไหมล่าช้า และลดจำนวนพนักงาน ซึ่งบริษัทที่ว่าก็คือ บริษัท เอเชียประกันภัย 1950 จำกัด (มหาชน) โดย คปภ. มีมติให้ บมจ.เอเชียประกันภัย 1950 หยุดรับประกันเป็นการชั่วคราว ตั้งแต่วันที่ 23 กันยายน 2564 หลังจากนั้นได้จัดส่งเจ้าหน้าที่เข้าไปควบคุมไม่ให้ทำการเคลื่อนย้าย หรือจำหน่ายทรัพย์สินของบริษัท

จนในที่สุด เมื่อวันที่ 15 ตุลาคม 2564 รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลังลงนามคำสั่งเพิกถอนใบอนุญาตประกอบธุรกิจประกันภัยของ บมจ. เอเชียประกันภัย 1950 เนื่องจากมีฐานะการเงินไม่มั่นคง มีหนี้สินมากกว่าทรัพย์สิน มีสภาพคล่องไม่เพียงพอต่อการจ่ายสินไหม โดยงบการเงิน 6 เดือนแรกปี 2464 บริษัทฯ ขาดทุนสะสม 285.8 ล้านบาท และไม่มีแนวทางในการเพิ่มทุน ทำให้ บมจ. เอเชียประกันภัย 1950 เป็นบริษัทประกันภัยรายแรกที่ปิดฉากลงจากพิษของกรมธรรม์ประกันภัยโควิด-19 แบบ “เจอจ่ายจบ” แล้วลอยแพลูกค้ากว่า 2 ล้านกรมธรรม์

ในช่วงเวลานั้นบริษัทประกันวินาศภัยอีกรายที่ส่ออาการไม่ค่อยดีนักก็คือ บริษัท เดอะ วัน ประกันภัย จำกัด (มหาชน) โดยมีการร้องเรียนว่าบริษัทฯจ่ายค่าสินไหมล่าช้า และวันที่ 5 พฤศจิกายน 2564 มีข่าวว่า คปภ. ผ่อนเกณฑ์ดำรงเงินกองทุนให้ 3 บริษัทประกันวินาศภัยเพื่อเสริมสภาพคล่องทางการเงินนำไปจ่ายค่าสินไหมประกันภัยโควิด-19 ให้กับประชาชน ซึ่งหนึ่งในนั้นมีชื่อ บมจ. เดอะ วัน ประกันภัย รวมอยู่ด้วย

12 พฤศจิกายน 2564  บมจ. เดอะ วัน ประกันภัย พยายามดิ้นรนด้วยการส่งข้อความ SMS ถึงลูกค้าประกันภัยโควิด-19 โดยเสนอทางเลือกให้ลูกค้าเปลี่ยนจากกรมธรรม์ประกันภัยโควิด-19 เป็นประกันภัยประเภทอื่นแทน พร้อมเสนอทุนประกันภัยที่สูงเป็นพิเศษเพื่อจูงใจ และมีกระแสข่าวว่าหากลูกค้าไม่เปลี่ยนตามที่บริษัทฯ เสนอมาภายใน 7 วัน กรมธรรม์จะถูกเปลี่ยนโดยอัตโนมัติ ซึ่งทาง คปภ. ออกมาชี้แจงว่าหากบริษัทฯกระทำเช่นนั้นจะมีความผิด5

29 พฤศจิกายน บมจ. เดอะ วัน ประกันภัย โพสต์ผ่านเฟซบุ๊กว่า “บริษัทอยู่ระหว่างปิดปรับปรุงชั่วคราว เพื่อดำเนินการเสริมสภาพคล่อง (ใช้เวลาประมาณ 2 สัปดาห์)” ทำให้ประชาชนหวั่นวิตกว่า บมจ. เดอะวัน ประกันภัย จะปิดกิจการหนีหรือไม่ แต่ คปภ.ออกมายืนยันว่าบริษัทฯ ยังไม่ปิดกิจการ พร้อมทั้งส่งเจ้าหน้าที่เข้าไปดูแลอย่างใกล้ชิด

ต่อจากนั้นไม่นาน เมื่อวันที่ 13 ธันวาคม 2564 รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลังลงนามคำสั่งเพิกถอนใบอนุญาตประกอบธุรกิจ บมจ. เดอะ วัน ประกันภัย มีผลตั้งแต่ 13 ธันวาคม 2564 เนื่องจากบริษัทไม่สามารถดำรงฐานะการเงินตามที่กฎหมายกำหนด ไม่สามารถเพิ่มทุน และไม่มีเงินเพียงพอสำหรับการจ่ายสินไหม

ตัวเลข ณ วันที่ 2 ธันวาคม 2564 บมจ. เดอะ วัน ประกันภัย มีสภาพคล่องที่สามารถนำมาใช้ได้เพียง 162.40 ล้านบาท ซึ่งไม่เพียงพอต่อการจ่ายค่าสินไหมที่ค้างจ่ายอยู่จำนวน 2,544.22 ล้านบาท โดยมีสินไหมประกันภัยโควิด-19 อยู่ทั้งสิ้น 2,435 ล้านบาท สุดท้ายบริษัทฯ จำเป็นต้องปิดตัวลงเป็นรายที่ 2 พร้อมทั้งลอยแพพนักงานบริษัทฯ โดยไม่บอกกล่าวล่วงหน้าใด ๆ

สำหรับ บมจ.สินมั่นคงประกันภัย ยังคงต่อสู้ดิ้นรนเพื่อพยุงฐานะการเงินจนกว่าประกันภัยโควิด-19 จะสิ้นสุดอายุกรมธรรม์ในช่วงกลางปี 2565 โดยประกาศเพิ่มทุนจดทะเบียนและออกหุ้นใหม่ คาดว่าจะได้เงินประมาณ 1,400 ล้านบาท ซึ่งประเมินว่าน่าจะเพียงพอที่จะรองรับค่าสินไหมที่จะเกิดขึ้น โดยเสนอขายหุ้นให้กับบริษัทประกันต่างชาติในสัดส่วน 24.8%6

ที่กล่าวมานั้นเป็นภาพรวมของประกันภัยโควิด-19 แบบ “เจอจ่ายจบ” ที่เกิดขึ้น ผู้เขียนมีบางมุมมองที่อยากนำเสนอ โดยจะแยกออกเป็น 3 กลุ่ม ประกอบด้วย 1) ผู้ถือกรมธรรม์หรือผู้เอาประกันภัย 2) บริษัทประกันวินาศภัย และ 3) หน่วยงานภาครัฐที่กำกับดูแล

1) ผู้ถือกรมธรรม์หรือประชาชนผู้เอาประกันภัย

เชื่อว่าผู้ถือกรมธรรม์หรือประชาชนผู้เอาประกันภัยที่ซื้อประกันภัยโควิด-19 แบบ “เจอจ่ายจบ” เหตุผลที่ซื้อเพราะต้องการใช้ประกันภัยเป็นเครื่องมือในการบริหารความเสี่ยง ผู้ถือกรมธรรม์หรือประชาชนผู้เอาประกันภัยย่อมรู้สึกอุ่นใจขึ้นหลังจากที่ซื้อประกันภัยโควิด-16 แล้ว เพราะหากโชคร้ายเป็นผู้ติดเชื้อ จำเป็นต้องเข้ากระบวนการรักษา ต้องกักตัว ทำให้ขาดรายได้ อย่างน้อยยังมีเงินก้อนจากค่าสินไหมไว้คอยเยียวยา ผู้ติดเชื้อบางรายโชคร้ายต้องใช้ค่าสินไหมเป็นค่าทำศพ การซื้อประกันภัยไว้จึงถือว่าเป็นทางเลือกที่ดี

หากบริษัทประกันภัยจะบอกเลิกกรมธรรม์ย่อมไม่เป็นธรรมกับผู้ซื้อ เพราะผู้ซื้อไม่ได้ทำอะไรผิด หากกระทำเช่นนั้นจะทำให้ประชาชนผู้เอาประกันภัยสูญเสียความศรัทธาและความเชื่อมั่นต่อประกันภัยทั้งระบบ  ซึ่ง ดร.สุทธิพล ทวีชัยการ เลขาธิการ คปภ. กล่าวถึงประเด็นนี้ไว้อย่างชัดเจนว่า

“คปภ. ได้ยืนยันกับทางสมาคมประกันวินาศภัยว่าจะไม่ยกเลิกคำสั่ง คปภ. ที่ห้ามบริษัทประกันยกเลิกประกันโควิดแบบ “เจอจ่ายจบ”  ตามที่สมาคมประกันวินาศภัยขอมา เพราะเห็นว่าการยกเลิกคำสั่งจะกระทบกับผู้ทำประกันและธุรกิจประกันโดยรวมทั้งหมด”7 แต่ล่าสุดสมาคมประกันวินาศภัยไทยได้ยื่นอุทธรณ์คำสั่งดังกล่าว โดยอ้างว่าขัดต่อหลักการประกันภัยสากลและขัดต่อหลักกฎหมาย

ในมุมผู้บริโภค นับจากนี้ไปการซื้อประกันภัยไม่ว่าจะเป็นประกันชีวิตหรือประกันวินาศภัยจะมองเฉพาะที่เบี้ยประกันถูก ๆ ไม่ได้แล้ว แต่ต้องพิจารณาถึงความแข็งแกร่งทางด้านการเงินของบริษัทประกันภัยด้วย

2) บริษัทประกันวินาศภัย

ปัจจุบันสมาคมประกันวินาศภัยไทยมีบริษัทสมาชิกทั้งสิ้น 53 บริษัท ในจำนวนนี้มี 16 บริษัทที่เสนอขายประกันภัยโควิด-19 แบบ “เจอจ่ายจบ” จากข้อมูลสมาคมประกันวินาศภัยไทยระบุว่า ตั้งแต่ปี 2563 จนถึงสิ้นเดือนสิงหาคม 2564 มียอดกรมธรรม์สะสมประมาณ 40 ล้านฉบับ เป็นกรมธรรม์แบบ “เจอจ่ายจบ” ประมาณ 10 ล้านฉบับ ประเมินว่า ณ สิ้นปี 2564 ยอดค่าสินไหมน่าจะพุ่งเกิน 4 หมื่นล้านบาท

นายอานนท์ วังวสุ นายกสมาคมประกันวินาศภัยไทย ตั้งข้อสังเกตว่า ตามกฎหมายการรับเสี่ยงภัยใดภัยหนึ่งต้องไม่เกิน 10% ของระดับเงินกองทุน แต่ปัจจุบันเคลมจากโควิด-19 เกินกว่า 26% ของเงินกองทุน ขณะที่ปัจจุบันกรมธรรม์ “เจอจ่ายจบ” จำนวนมากยังคุ้มครองไปถึงสิ้นเดือนมิถุนายน 2565 ดังนั้นทางสมาคมมีความกังวลว่าหากเกิดการระบาดโควิดระลอกใหม่ขึ้นมา ธุรกิจประกันวินาศภัยจะรับมือไหวหรือไม่8

ต้องยอมรับว่าความเสียหายที่เกิดขึ้นมากมายในครั้งนี้เกิดจากการประเมินสถานการณ์ที่ผิดพลาด ส่วนหนึ่งเป็นความรับผิดชอบของนักคณิตศาสตร์ประกันภัย (Actuary) ของแต่ละบริษัท และถือว่าเป็นบทเรียนสำคัญสำหรับนักคณิตศาสตร์ประกันภัยที่ต้องกลับมาทบทวนถึงความผิดพลาดที่เกิดขึ้น

อย่างไรก็ตาม โควิด-19 ถือเป็นความเสี่ยงที่เกิดขึ้นใหม่ (Emerging Risk) เช่นเดียวกับความเสี่ยงทาง ไซเบอร์ (Cyber Risk) ซึ่งบริษัทประกันภัยยังไม่มีสถิติที่นำมาใช้อ้างอิงในการกำหนดอัตราเบี้ยที่เหมาะสมได้ แตกต่างจากประกันภัยประเภทอื่น ๆ ที่มีข้อมูลในอดีตมาใช้ในการประเมินความเสี่ยง การนำข้อมูลจากต่างประเทศมาใช้ก็ไม่สามารถประยุกต์ใช้ได้เต็มที่ เพราะบริบทและสภาพแวดล้อมแตกต่างกัน9  มิหนำซ้ำเมื่อต้องเจอกับเงื่อนไขการกลายพันธุ์ของเชื้อไวรัสที่สามารถระบาดได้รวดเร็วยิ่งขึ้น ยิ่งทำให้สัดส่วนค่าสินไหมทดแทนต่อเบี้ยประกันภัย (Loss Ratio) เพิ่มขึ้นเกินความคาดหมาย

การประเมินสถานการณ์ที่ผิดพลาดนอกจากจะทำให้บริษัทต้องประสบกับภาวะขาดทุนแล้ว ยังกระทบไปถึงอัตราส่วนความเพียงพอของเงินกองทุน (Capital Adequacy Ratio : CAR) ซึ่งต้องอยู่ในเกณฑ์ที่ คปภ. กำหนดไว้ (ขั้นต่ำที่ 120%) หากอัตราส่วนดังกล่าวไม่เพียงพอก็ต้องหาทางแก้ไขด้วยการเพิ่มทุน จนท้ายที่สุดบางบริษัทจำเป็นต้องยอมทิ้งใบอนุญาตและปิดกิจการ เพราะนายทุนรู้ว่าใส่เงินลงไปเท่าไหร่ก็ไม่เพียงพอกับค่าสินไหมจำนวนหลายพันล้านบาท

หากมองว่าการระบาดของโควิด-19 เป็นโอกาส (Opportunity) ในการนำเสนอผลิตภัณฑ์ใหม่ ในทำนองที่ว่าเป็นโอกาสในวิกฤต ข้อนี้ต้องพึงระวัง ผู้ประกอบการไม่ควรรีบกระโจนเข้าไปขายผลิตภัณฑ์ใด ๆ โดยมิได้พิจารณาอย่างรอบคอบหรือไม่ได้ชั่งน้ำหนักระหว่าง Opportunity และ Vulnerability อย่างเพียงพอ

ความผิดพลาดอีกประการหนึ่งก็คือ บริษัทประกันวินาศภัยที่ขายประกันภัยโควิด-19 แบบ “เจอจ่ายจบ” เกือบทั้งหมดไม่ได้ทำประกันภัยต่อ (Reinsurance) โดยตัดสินใจที่จะแบกรับความเสี่ยงไว้เอง ไม่ได้ส่งงานให้กับบริษัทประกันภัยต่อเพื่อกระจายความเสี่ยงตามหลักการประกันภัย ซึ่งถือว่าเป็นความผิดพลาดในเชิงการบริหารความเสี่ยงที่ไม่น่าจะเกิดขึ้นและไม่เป็นมืออาชีพ ส่วนในกรณีที่ไม่มีบริษัทประกันภัยต่อใดกล้ารับงาน ก็แสดงว่าเป็นงานที่มีความเสี่ยงสูง และยิ่งต้องบริหารจัดการความเสี่ยงอย่างรัดกุมยิ่งขึ้น ไม่ปล่อยให้เกิดความเสียหายขึ้น

3) หน่วยงานภาครัฐที่กำกับดูแล

อย่างที่ทราบกันดีว่า อุตสาหกรรมประกันภัยประกอบด้วยประกันชีวิตและประกันวินาศภัย อยู่ภายใต้การกำกับดูแลของสำนักงานคณะกรรมการกำกับและส่งเสริมการประกอบธุรกิจประกันภัย (คปภ.) ซึ่งเป็นองค์กรอิสระ และในวิกฤตการณ์ครั้งนี้ คปภ. ก็ได้รับคำชื่นชมไม่น้อยในฐานะองค์กรที่เคียงข้างประชาชนผู้เอาประกันภัย อย่างไรก็ตาม ในฐานะผู้กำกับดูแลและเป็นผู้อนุมัติกรมธรรม์ทุกแบบก่อนที่จะนำไปเสนอขายกับผู้บริโภค ทาง คปภ.ได้ทักท้วงหรือส่งสัญญาณเตือนให้บริษัทประกันภัยควบคุมปริมาณการขายหรือไม่ โดยเฉพาะประกันภัย    โควิด-19 เป็นภัยที่เกิดขึ้นใหม่และยังไม่มีสถิติข้อมูลเพียงพอ เมื่อปล่อยให้ขายโดยอิสระจึงเกิดความเสียหายในวงกว้างอย่างที่เห็น  และที่สำคัญบทบาทในการควบคุมดูแลก็เป็นหน้าที่โดยตรงของหน่วยงานภาคกำกับด้วย

นอกจากนี้ ที่ประชุมคณะกรรมการกำกับและส่งเสริมการประกอบธุรกิจประกันภัย (บอร์ด คปภ.) ครั้งที่ 9/2564  เห็นชอบให้ออก 7 มาตรการผ่อนผันให้กับบริษัทประกันวินาศภัยที่มีค่าสินไหมโควิด-19 เพื่อไม่ให้ประชาชนได้รับผลกระทบจากปัญหาสภาพคล่องที่อาจเกิดขึ้นกับบริษัท ซึ่งถือว่าเป็นมาตรการที่ดี ช่วยลดภาระค่าใช้จ่ายได้บางส่วน โดยส่วนใหญ่เป็นการลดภาระเงินกองทุน แต่ภาระอีกส่วนที่บริษัทประกันชีวิตและประกันวินาศภัยต้องแบกรับก็คือเงินสมทบที่ต้องนำส่งให้กับ คปภ. ทุกไตรมาส ซึ่งระบุวัตถุประสงค์ไว้เพียงว่า “เพื่อเป็นค่าใช้จ่ายในการดำเนินงานของคณะกรรมการและสำนักงาน”

หาก คปภ. มีเจตนารมณ์ที่จะช่วยผ่อนผัน ช่วยสร้างสภาพคล่องให้กับบริษัทประกันภัยสามารถผ่านช่วงเวลานี้ไปได้นั้น เป็นไปได้หรือไม่ที่ คปภ. จะละเว้นการส่งเงินสมทบในช่วงนี้ไปก่อน ซึ่งหากเป็นจริงจะช่วยแบ่งเบาภาระและมีส่วนช่วยให้หลายบริษัทผ่านพ้นวิกฤตในครั้งนี้ไปได้

ในวันนี้กรมธรรม์ประกันภัยโควิด-19 แบบ “เจอจ่ายจบ” เปลี่ยนจาก “พระเอก” กลายเป็น “ผู้ร้าย” ไปแล้ว  จนถึงวันนี้บริษัทประกันวินาศภัยปิดตัวไป 2 แห่ง และเชื่อว่ายังไม่จบแค่นี้ นี่ยังไม่พูดถึงการแพร่ระบาดของไวรัสสายพันธุ์ “โอมิครอน” ซึ่งน่าจะเป็นโจทย์ใหญ่ในปี 2565 จำนวนคนไทยที่ติดเชื้อจากไวรัสโอมิครอนเพิ่มขึ้นทุกวัน และน่าจะทำให้ยอดค่าสินไหมพุ่งทะยานมากขึ้น มากแค่ไหนยังยากที่จะประเมิน ที่สำคัญคือวิกฤตการณ์ประกันภัยโควิด-19 แบบ “เจอจ่ายจบ” จะถูกจารึกว่าเป็นโศกนาฏกรรมของธุรกิจประกันวินาศภัยไทยอย่างแน่นอน…

 

แหล่งเอกสารอ้างอิง

 1ชุลีกร แต่โสภาพงษ์ (2564). การเติบโตของประกันภัยโควิด-19 ในประเทศไทย. วารสารประกันภัย ปีที่ 36 ฉบับที่ 150

2ข้อมูลจาก https://data.go.th/dataset/covid-19-daily

3  คปภ.สั่งห้ามยกเลิกประกันโควิด บังคับย้อนหลังทุกกรมธรรม์ (2564). สืบค้นจาก https://mgronline.com/mutualfund/detail/9640000069427

4สินมั่นคงขาดทุน 3.6 พันล้าน-อ่วมพิษเคลม “เจอจ่ายจบ” ทะลุ 6 พันล้าน (2564). สืบค้นจาก https://www.prachachat.net/finance/news-800954

5สั่งปิด “เดอะวันประกันภัย” ย้อนไทม์ไลน์ 4 เดือน เกิดอะไรขึ้นบ้าง (2564). สืบค้นจาก https://www.bangkokbiznews.com/news/977183

6สินมั่นคงฯ ชงผู้ถือหุ้น 18 ก.พ. 65 ขายหุ้นให้ประกันต่างชาติ 24.8% (2564). สืบค้นจาก https://www.prachachat.net/finance/news-832831

7คปภ.ห้ามยกเลิกประกันโควิดเจอจ่ายจบ (2564). สืบค้นจาก https://www.posttoday.com/finance-stock/insurance/668245

8ประกันป่วนเลิก “เจอจ่ายจบ” เคลมพุ่งไม่หยุดผวาโดมิโนทั้งระบบ (2 โขวิฑูรกิจ (2564). ว่าด้วยประกันภัยโควิด-19 และการบริหารความเสี่ยงของบริษัทประกันภัย.  วารสารประกันภัย ปีที่ 36 ฉบับที่ 150564). สืบค้นจาก https://www.prachachat.net/finance/news-801670

9ปิยวดี โขวิฑูรกิจ (2564). ว่าด้วยประกันภัยโควิด-19 และการบริหารความเสี่ยงของบริษัทประกันภัย.  วารสารประกันภัย ปีที่ 36 ฉบับที่ 150

Share. Facebook Twitter Pinterest LinkedIn Tumblr Email WhatsApp Copy Link
Previous Articleอาคเนย์ประกันภัยและไทยประกันภัยโอนกรมธรรม์ให้บริษัทประกันภัยอื่น มีผล 23 กุมภาพันธ์ 2565
Next Article สมาคมผู้สื่อข่าวเศรษฐกิจ จัดสัมมนาใหญ่ประจำปี

Related Posts

แรบบิท ประกันชีวิต ฉลองครบรอบ 28 ปี มอบดีลวันเกิดสุดเอ็กซ์คลูซีฟ สิทธิพิเศษเฉพาะสมาชิก Rabbit Life MYRewards เท่า

June 14, 2025

เอไอเอ ประเทศไทย ต้อนรับ Pride Month จัดกิจกรรม Pride Week ส่งเสริมความความเท่าเทียมในที่ทำงาน (Inclusive Workplace) ให้พนักงานได้แสดงออกอย่างเสรี

June 13, 2025

กรุงเทพประกันชีวิต จัดโครงการ Heartful Meals, Hopeful Lives “มื้อใส่ใจ เติมความหวังให้ชีวิต” มอบแก่คนไร้บ้าน

June 12, 2025
Contact Us

โทร : 0816229144
อีเมล์ : mooprawit@hotmail.com

Social online
Facebook YouTube

Type above and press Enter to search. Press Esc to cancel.

Sign In or Register

Welcome Back!

Login to your account below.

Lost password?