นางชวินดา หาญรัตนกูล กรรมการผู้จัดการ บริษัทหลักทรัพย์จัดการกองทุน กรุงไทย จำกัด (มหาชน) (KTAM) เปิดเผยว่า โดยปกติในภาวะดอกเบี้ยขาลงนั้น ถือว่าเป็นปัจจัยบวกสำหรับการลงทุนในหลักทรัพย์กลุ่ม Yield Play ซึ่งเป็นกลุ่มที่มุ่งหวังผลตอบแทนจากเงินปันผลเป็นหลัก นอกจากจะเป็นการกระจายความเสี่ยงของพอร์ตแล้ว ยังถือเป็นโอกาสในการสร้างกระแสเงินสดให้แก่พอร์ตจากการได้รับเงินปันผลที่มีความสม่ำเสมอเพื่อชดเชยกับการลดลงของผลตอบแทนจากตราสารหนี้ (Bond Yield) โดยเฉพาะหลักทรัพย์รายตัวที่เป็น High Dividend Yield ในระดับที่สูงกว่า Bond Yield ก็จะยิ่งสร้างความน่าสนใจลงทุนมากขึ้นเป็นพิเศษในภาวะดังกล่าว
นอกจากนี้ การที่อัตราดอกเบี้ยมีแนวโน้มลดต่ำลงนั้นก็อาจเป็นโอกาสให้กลุ่ม Infrastructure Fund พิจารณาเพิ่มการเข้าลงทุนในทรัพย์สินใหม่ (Expansion) โดยใช้เงินลงทุนจากการกู้ยืมเงิน (Gearing) มาผสมกับการออกจำหน่ายหน่วยลงทุนเพิ่มทุนได้อีกทางหนึ่ง อย่างไรก็ตาม ท่ามกลางสภาวะที่เต็มไปด้วยความผันผวนตั้งแต่ต้นปีที่ผ่านมา KTAM ยังคงสามารถสร้างผลงานได้ดีต่อเนื่อง ในการบริหารกองทุนรวมอสังหาริมทรัพย์ และกองทุนรวมโครงสร้างพื้นฐาน จึงได้กำหนดจ่ายปันผลและเงินลดทุนสำหรับรอบระยะเวลาบัญชีวันที่ 1 ม.ค. – 31 มี.ค. 2568 จากกำไรสุทธิและ/หรือกำไรสะสม พร้อมกัน 4 กองทุน ในวันที่ 16 มิ.ย. 2568 รวมจำนวนกว่า 1,027 ล้านบาท ประกอบด้วย
กลุ่มกองทุนรวมอสังหาริมทรัพย์ จำนวน 1 กองทุน ได้แก่ กองทุนรวมสิทธิการเช่าอสังหาริมทรัพย์ตลาดไท (TTLPF) ซึ่งลงทุนในสิทธิการเช่าของสิ่งปลูกสร้างบางส่วนในโครงการตลาดไท โดยกำหนดจ่ายเงินปันผลครั้งที่ 58 ในอัตรา 0.3197 บาทต่อหน่วย และจ่ายเงินลดทุนครั้งที่ 2 ในอัตรา 0.1662 บาทต่อหน่วย รวมจ่ายเงินปันผลและเงินลดทุน จำนวน 0.4859 บาทต่อหน่วย
สำหรับกลุ่มกองทุนรวมโครงสร้างพื้นฐาน จำนวน 3 กองทุน ประกอบด้วย กองทุนรวมโครงสร้างพื้นฐานโรงไฟฟ้ากลุ่มน้ำตาลครบุรี (KBSPIF) ซึ่งลงทุนในสิทธิในผลประโยชน์จากการประกอบกิจการไฟฟ้า ในสัดส่วนร้อยละ 62% ของรายได้ค่าไฟฟ้าจากสัญญาซื้อขายไฟฟ้าของบริษัทผลิตไฟฟ้าครบุรี จำกัด กับ กฟผ. และภายในกลุ่มน้ำตาลครบุรี โดยโรงไฟฟ้าแห่งนี้เป็นโรงไฟฟ้าพลังงานชีวมวล ที่ใช้กากอ้อยซึ่งเป็นวัสดุเหลือใช้จากการผลิตน้ำตาลเป็นเชื้อเพลิงหลัก สัญญาเข้าลงทุนของกองทุนมีระยะเวลาถึงปี 2582 จึงเหมาะกับนักลงทุนที่มีมุมมองการลงทุนระยะยาว มองหากระแสรายได้จากทรัพย์สินโครงสร้างพื้นฐานที่มีความจำเป็นในชีวิตประจำวัน โดยกำหนดจ่ายเงินปันผลครั้งที่ 19 ในอัตรา 0.2320 บาทต่อหน่วย
ลำดับถัดมาคือ กองทุนรวมโครงสร้างพื้นฐานโรงไฟฟ้าพระนครเหนือชุดที่ 1 การไฟฟ้าฝ่ายผลิตแห่งประเทศไทย (EGATIF) ลงทุนในสิทธิในรายได้ค่าความพร้อมจ่ายของโรงไฟฟ้าพระนครเหนือ ชุดที่ 1 โดยกำหนดจ่ายปันผลครั้งที่ 37 ใน
อัตรา 0.2100 บาทต่อหน่วย โดยกองทุน KBSPIF และ EGATIF มีอัตราการจ่ายปันผลเป็นที่น่าพอใจ คิดเป็นอัตราผลตอบแทนจากการกระจายรายปี (Annual Distribution Yield (เงินปันผล + เงินลดทุนจากสภาพคล่องส่วนเกิน) ในอัตราที่สูงกว่า 10% (อ้างอิงจากอัตราการจ่ายเงินปันผลย้อนหลัง 4 ไตรมาส เปรียบเทียบกับราคาตลาด ณ สิ้นเดือน พ.ค. 68) นอกจากนี้ ทั้ง 2 กองทุนยังมีราคาตลาดที่ยังคง laggard โดยต่ำกว่า NAV หรือมูลค่าทางบัญชี (Book Value) หรือต่ำกว่าราคา PAR และไม่มีความเสี่ยงด้านความผันผวนของอัตราดอกเบี้ย เนื่องจากไม่มีการกู้ยืม (Zero Gearing Ratio) รวมถึงไม่มีความเสี่ยงด้านปฏิบัติการ (Operational Risk) ความเสี่ยงที่เกี่ยวข้องกับการซื้อขายโดยใช้มาร์จิ้น (Margin Risk) เนื่องจากทั้ง 2 กองทุนมีรายได้แบบ Passive Income จากส่วนแบ่งรายได้ของโรงไฟฟ้า และไม่มีค่าใช้จ่ายในการดำเนินงาน (OPEX) และค่าใช้จ่ายเพื่อการลงทุนในสินทรัพย์ถาวร (CAPEX)
และสุดท้าย กองทุนรวมโครงสร้างพื้นฐานเพื่ออนาคตประเทศไทย (TFFIF) ลงทุนในสิทธิในรายได้ 45% ของรายได้ค่าผ่านทางสุทธิ ที่จัดเก็บได้จากโครงการทางพิเศษฉลองรัช และทางพิเศษบูรพาวิถี ซึ่งบริหารโดยการทางพิเศษแห่งประเทศไทย (กทพ.) โดยสัญญาเข้าลงทุนของกองทุนจะสิ้นสุดปี 2591 กองทุนนี้จึงเหมาะกับนักลงทุนที่มีมุมมองการลงทุนระยะยาว มองหาทรัพย์สินโครงสร้างพื้นฐานที่มีโอกาสสร้างรายได้ตามการเพิ่มขึ้นของผู้ใช้บริการทางพิเศษทั้งใน 2 เส้นทางนี้ โดยกำหนดจ่ายปันผลครั้งที่ 26 ในอัตรา 0.1176 บาทต่อหน่วย
ผู้ที่สนใจสามารถสอบถามข้อมูลได้ทุกวันทำการได้ที่ บลจ.กรุงไทย โทร. 0-2686-6100 กด 9 หรือศึกษารายละเอียดได้ที่ www.ktam.co.th
คำเตือน ผลการดำเนินงานในอดีต มิได้เป็นสิ่งยืนยันถึงผลการดำเนินงานในอนาคต / ผู้ลงทุนต้องทำความเข้าใจในลักษณะสินค้า เงื่อนไขผลตอบแทน และความเสี่ยง ก่อนตัดสินใจลงทุน